เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเว็บไซต์ของธนาคารสแตนดาร์ดชาเตอร์ด ได้เผยแพร่แถลงการณ์ขององค์กรเกี่ยวกับการผลิตไฟฟ้า โดยมีเนื้อหาส่วนหนึ่งระบุว่าธนาคารมุ่งมั่นส่งเสริมการปฎิบัติอย่างยั่งยืนในภาคพลังงาน ด้วยการสนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและความมั่งคั่ง โดยกลุ่มธนาคารแห่งนี้ได้ประกาศจุดยืนซึ่งไม่มีข้อบังคับทางกฎหมายและเป็นการสมัครใจ โดยจะมีความเปลี่ยนแปลงนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2562
สำหรับของพลังงานฟอสซิล (ถ่านหินและก๊าซ) อ้างถึงการก่อสร้างและยกเลิกโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหิน น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ธนาคารจะไม่ให้เงินกู้แก่โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่รวมถึงการขยายโรงไฟฟ้า โดยธนาคารคาดหวังว่าลูกค้าควรติดตามและเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่สาธารณะซึ่งใช้วิธีการเป็นที่ยอมรับในระดับสากลและหากเป็นไปได้ในกรณีที่เหมาะสม ควรวางเป้าหมายที่ชัดเจนในการลดก๊าซเรือนกระจกจากโรงไฟฟ้า
แถลงการณ์ระบุว่า เกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์นั้น ธนาคารจะให้บริการทางการเงินแก่ลูกค้าที่ดำเนินกิจการเกี่ยวกับนิวเคลียร์เพื่อสันติเท่านั้น และลูกค้าต้องแสดงให้เห็นถึงการปฎิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยนิวเคลียร์ระดับสากล (IAEA Safety Standards and Nuclear Safety Series) ตลอดจนจดหมายระดับประเทศนั้นๆ
สำหรับพลังงานหมุนเวียน ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ ธนาคารคาดหวังว่าลูกค้าจะปฎิบัติตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการเขื่อนโลก (World Commission on Dams, Framework for Decision Making) ตลอดจนข้อเสนอของกลุ่มธนาคารโลก (IFC Good Practive Note on Environmental, Health, and Safety Approaches for Hydropower Projects)
อนึ่งข้อเสนอแนะของคณะกรรมการเขื่อนโลก WCD มีหลักการสำคัญ 7 ข้อ อาทิ 1.การได้รับการยอมรับจากสาธารณะ การเปิดเผยข้อมูล Gainning Public Accpetance รวมทั้งประชาชนที่ได้รับผลกระทบและชนเผ่าพื้นเมือง ที่ต้องได้รับข้อมูลโครงการล่วงหน้าเพื่อประกอบการตัดสินใจ (FPIC) 2.การประเมินทางเลือกอย่างรอบด้าน Comprehensive Options Assessment และ 3.การแบ่งปันแม่น้ำเพื่อสันติภาพ การพัฒนา และความมั่นคง สำหรับกรณีแม่น้ำที่ไหลผ่านหลายรัฐหรือหลายประเทศ ควรมีมาตรการแก้ไขปัญหาความขับแย้งหรือปัญหาข้ามพรมแดน โดยองค์กรหรือสถาบันที่เป็นอิสระ เป็นต้น
ขณะที่สำนักข่าววิทยุเอเชียเสรี (RFA อาร์เอฟเอ) รายงานข่าวว่าเขื่อนไซยะบุรีทดลองปล่อยน้ำ โดยมีเนื้อหาว่า
วันที่ 18 มกราคม 2562
เจ้าหน้าที่แผนพลังงานและเหมืองแร่ แขวงไซยะบุรี สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชน (สปป.) ลาว เปิดเผยว่า การปล่อยน้ำของเขื่อนไซยะบุรี เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา เพื่อเตรียมการทดลองการผลิตกระแสไฟฟ้าภายในต้นเดือนกุมภาพันธ์ ไม่ได้ทำให้ระดับแม่น้ำโขงขึ้น-ลงผิดปกติ และไม่ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ท้ายเขื่อน
ขณะที่ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ท้ายเขื่อนไซยะบุรี คนหนึ่งกล่าวว่า การปล่อยน้ำลงท้ายเขื่อนโดยที่ไม่แจ้งให้ชาวบ้านรู้ข้อมูลช่วงวันและเวลา จะทำให้ระดับน้ำขึ้นลงผิดปรกติ ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิติของเกษตรกร โดยเฉพาะชาวบ้านที่สัญจรทางน้ำ หากมีปริมาณน้ำมากก็ควรที่จะปล่อยจากเขื่อนเป็นช่วงเวลา การปล่อยน้ำลงท้ายเขื่อนตอนเช้า เมื่อน้ำแห้ง ชาวบ้านอาจจะมีผลกระทบ เพราะบางครั้งเอาปศุสัตว์ เช่น วัว ไปเลี้ยงที่สวนริมน้ำ แล้วน้ำโขงก็เพิ่มระดับขึ้น
สำนักข่าวอาร์เอฟเอรายงานอีกว่า เมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา สื่อไทยรายงานว่า ที่หนองคาย น้ำโขงสูงขึ้นผิดปกติที่ระดับ 5.70 เมตร จากเดิมเพียง 3 เมตร กระทบต่อประชาชนบ้านพร้าวเหนือ ที่เลี้ยงปลากระชังในแม่น้ำโขง ส่งผลให้ปลาตาย ส่วนสาเหตุที่ทำให้ระดับน้ำโขงยังขึ้นผิดปกตินั้น เจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของไทย กล่าวต่อวิทยุเอเชียเสรีในวันดังกล่าวว่า ระดับน้ำดังกล่าว เป็นระดับน้ำปกติที่ไหลอยู่ในช่วงปัจจุบัน ตอนนี้น้ำที่ขึ้นมา 1-3 เมตร ก็อยู่ในช่วงปกติ หากเป็นช่วงวิกฤตจะต้องเพิ่มขึ้นอีกเป็น 10 เมตรจึงจะมีการเตือนภัย
ตามรายงานข้อมูลอย่างเป็นทางการของลาว ระบุว่า หมู่บ้านที่ได้รับผลกระทบจากเขื่อนไซยะบุรีมีทั้งหมด 15 หมู่บ้าน เช่น บ้านนาตอใหญ่ บ้านท่าเดื่อ บ้านปากไผ่ ส่วนบ้านที่เหลือยังไม่มีการเปิดเผยชื่อหมู่บ้าน
ปัจจุบันโครงการเขื่อนไซยะบุรี ก่อสร้างแล้วเสร็จ100 % ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการกักเก็บน้ำตามมาตารฐานของเขื่อน เพื่อเตรียมการทดลองผลิตกระแสไฟฟ้า ก่อนที่จะมีการเริ่มผลิตกระแสไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในปลายปี 2562 นี้ โดยส่งขายให้แก่ประเทศไทย
อนึ่งโครงการเขื่อนไซยะบุรี ได้รับเงินสนับสนุนในรูปแบบ Syndicated loan จากธนาคารไทยในช่วงเริ่มโครงการ ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงเทพ และธนาคารทิสโก โดยภาคประชาชนได้ร่วมกันคัดค้านโครงการเขื่อนโดยได้ไปยื่นจดหมายที่ธนาคารไทยพาณิชย์สำนักงานใหญ่ ขณะเดียวกันได้มีการรณรงค์จากภาคประชาชนและนักวิชาการ ในกรณีการให้เงินกู้แก่โครงการที่ส่งผลกระทบข้ามพรมแดน อาทิ โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินหงสาลิกไนต์ และเขื่อนไซยะบุรี โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียน-เซน้ำน้อย สปป.ลาว ซึ่งต่อมาเขื่อนดินพังลง มีผู้เสียชีวิตและสูญหายจำนวนมากจนเป็นข่าวไปทั่วโลก