เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2562 สมาชิกเครือข่ายประมงพื้นบ้านจังหวัดตรังนำโดยนายอะเหร็น พระคง ประธานชมรมฯได้ร่วมกันแถลงข่าวและส่งจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิงแวดล้อม(ทส.) เพื่อประกาศยุติความร่วมมือกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง(ทช.)ภายใต้ทส.ในทุกกรณี และขอเชิญชวนให้องค์กรชุมชนด้านการอนุรักษ์ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้นายหลงเฝี๊ยะ บางสัก
ทั้งนี้ในจดหมายเปิดผนึกระบุว่า ตามที่หัวหน้าสถานีพัฒนาป่าชายเลนที่ 40 (บางสัก ตรัง) ร่วมกันสนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรอำเภอกันตัง ,กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดตรัง (กอ.รมน.) และเจ้าหน้าที่หน่วยงานด้านอนุรักษ์อื่นๆกว่า 50 นาย เข้าจับกุมนายหลงเฝี๊ยะ บางสัก ประธานกลุ่มประมงพื้นบ้านบ้านน้ำราบ ตำบลบางสัก อำเภอกันตัง จังหวัดตรังนั้น ถือเป็นการทำเกินกว่าเหตุ และเข้าข่ายใช้กฎหมายกลั่นแกล้งแกนนำกลุ่มอนุรักษ์ที่ทำงานด้านการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่งมายาวนานกว่า 30 ปี
ในแถลงการณ์ระบุว่า เป็นที่ประจักษ์ว่านายหลงเฝ๊ยะ เป็นผู้ที่อุทิศตนให้กับงานส่วนรวมมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มต้นก่อตั้งกลุ่มประมงพื้นบ้านตั้งแต่ปี พ.ศ.2539 และเริ่มอนุรักษ์ท้องทะเลด้วยการกวดขันไม่ให้มีการทำประมงด้วยเครื่องมือผิดกฎหมายโดยร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐและท้องที่จนทำให้เครื่องมือทำลายล้างทรัพยากรหมดหายไปในช่วงเวลาไม่กี่ปี นอกจากนี้ยังมีการทำงานร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งตั้งแต่กรมทรัพย์ฯได้แยกตัวออกมาจากกรมประมง ในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จนมาถึงปัจจุบัน โดยได้มีการจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ทรัพยากรชุมชนในพื้นที่ป่าชายเลนของหมู่บ้าน ซึ่งได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจากสถานีพัฒนาป่าชายเลน อันเป็นหน่วยงานหนึ่งของกรมทรัพยากรทางทะเลฯจนปัจจุบันได้มีการขยายกิจกรรมของกลุ่มทำเรื่องการท่องเที่ยวชุมชนในลักษณะวิสาหกิจชุมชน ซึ่งคือการใช้พื้นที่อนุรักษ์ป่าชายเลนชุมชนเป็นพื้นที่ศึกษาให้กับประชาชนทั่ว รวมถึงหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้เป็นจำนวนมาก จนได้รับการยอมรับในระดับอำเภอ จังหวัด ในประเทศและต่างประเทศ ทั้งยังได้รับรางวัลต่างๆจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงหน่วยงานอื่นๆ มากมาย และล่าสุดทางกลุ่มได้มีการออกรายการโทรทัศน์ของรัฐบาล
“การเข้าจับกุมของเจ้าหน้าที่ ทำเสมือนนายหลงเฝี๊ยะเป็นโจรผู้ร้ายที่มีการกระทำผิดกฎหมายบ้านเมืองในคดีอุกฉกรรจ์ จนสร้างความตื่นตระหนกให้กับชาวบ้านในพื้นที่ และยังสร้างความแปลกใจว่าทำไมถึงมีการจับกุมนักอนุรักษ์ที่ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐมาอย่างต่อเนื่อง และที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าคือผู้นำการจำกุมครั้งนี้คือหัวหน้าสถานีพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลนที่ 40 ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญที่รับรู้ และสนับสนุนการทำกิจกรรมอนุรักษ์ป่าชายเลนของกลุ่มมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน และเป็นผู้ที่รับรู้การทำกิจกรรมต่างๆมาโดยตลอด แม้แต่ในข้อกล่าวหาที่ว่ากลุ่มได้สร้างอาคารรุกล้ำพื้นที่ป่าชายเลน จนเป็นที่มาของการจับกุมนายหลงเฝี๊ยะนั้น ทางกลุ่มได้มีการทำหนังสืออนุญาตใช้พื้นที่กับผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 10 ไว้ก่อนแล้ว พร้อมกับได้มีหนังสือตอบรับอย่างเป็นทางการมาด้วยแล้ว ทั้งนี้ในส่วนของการก่อสร้างอาคารบางหลังที่ทางเจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตก็ได้มีการรื้อถอนไปบ้างแล้ว หากแต่กลับไม่มีเหตุปรากฏให้รู้ทราบได้ว่าจะมีการเข้ามาจับกุมด้วยข้อหาดังกล่าว จึงยังความสงสัยให้กับชาวบ้านว่าพฤติการณ์เหล่านี้เสมือนจงใจกลั่นแกล้ง และอ้างถึงข้อกฎหมายที่มีอยู่เข้ามาใช้โดยไม่สนใจสภาพข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่ในพื้นที่”ในจดหมายเปิดผนึกระบุ
ในจดหมายยังระบุว่าการกระทำเช่นนี้ของเจ้าหน้าที่รัฐ ภายใต้ทส.มีความจงใจที่จะกลั่นแกล้งกลุ่มที่ตนไม่พึงประสงค์ และไม่สามารถกำกับควบคุมได้ตามที่ต้องการ อันเป็นการใช้ดุลพินิจส่วนตัวที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความชิงชัง มาเป็นเครื่องตัดสินจับกุมดังกล่าว ประกอบกับบุคลิกของนายหลงเฝี๊ยะ บางสัก ที่ทุกคนต่างรู้ดีกว่าเป็นบุคคลที่ทำงานอย่างตรงไปตรงมา ไม่สนใจหน้าอินทร์ หน้าพรหมใดๆ ทั้งสิ้น จึงเป็นเหตุให้ขุนเคืองกับเจ้าหน้าที่รัฐบางคน จนนำไปสู่เหตุการณ์ดังกล่าวในที่สุด
“เครือข่ายชาวประมงพื้นบ้านจังหวัดตรัง ที่มีสมาชิกอยู่ทั่วทุกอำเภอที่ติดกับชายฝั่งทะเล ไม่สามารถยอมรับการกระทำที่ไร้ความเป็นธรรมดังกล่าวนี้ เพราะหากการร่วมงานกับเจ้าหน้าที่รัฐที่มีพฤติกรรมเช่นนี้คือความสุ่มเสี่ยงถึงคุกตารางที่จะนำไปสู่การสูญเสียสิทธิเสรีภาพ และอิสรภาพส่วนตัวได้ เราจึงขอเรียกร้องให้กลุ่มองค์กร อาสาสมัครชุมชนต่างๆร่วมกันยุติบทบาทการทำงานร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลฯ โดยการแสดงออกต่อเรื่องนี้อย่างทั่วถึงกัน เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีและความเป็นธรรมให้กับพวกเรานักอนุรักษ์ทุกคน ด้วยการคืนบัตรคณะทำงาน บัตรคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ บัตรอาสาสมัครทุกชนิด ทุกชุดของกรมทรัพยากรทางทะเลฯทุกพื้นที่อย่างพร้อมกันที่ศาลากลางจังหวัดหลังหมดช่วงเวลาการถือศีลอดในเดือนมิถุนายนนี้” เนื้อหาในจดหมายเปิดผนึกระบุ