ก่อนแม่น้ำสาละวินจะสุดทางที่อ่าวเมาะตะมะ ต้องไหลผ่านพะอันเมืองหลักของรัฐกะเหรี่ยง สำหรับคนที่ไม่ได้ใส่ใจความเป็นมาของกลุ่มชนต่างๆเท่าใดนัก อาจไม่เคยรู้มาก่อนว่าชาวกะเหรี่ยงเขามีประเทศของเขา แต่ต้องตกอยู่ในการปกครองของประเทศพม่า กลายเป็นรัฐๆหนึ่งของพม่าตราบเท่าทุกวันนี้ มีชาวกะเหรี่ยงที่พยายามช่วงชิงแผ่นดินของตนคืนมาพวกเขาตั้งกองกำลังอยู่แถบชายแดนไทย รบกับรัฐบาลพม่ามายาวนาน และทุกครั้งที่ทหารพม่ารุกคืบปราบปรามกองกำลังชนกลุ่มน้อย ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ตามชายแดนก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย ต้องหลบหนีข้ามมาฝั่งไทย
เป็นเช่นนี้มาตลอดระยะเวลาอันยาวนาน กระทั่งปัจจุบันที่รัฐบาลพม่าพยายามเปิดเจรจาสันติภาพกับกลุ่มชนต่างๆเพื่อให้วางอาวุธ แต่สันติภาพจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่นั้น ตราบเท่าที่ ต่างฝ่ายต่างก็ยังไม่แน่ใจในความจริงใจของกันและกัน ก็โปรดอย่าถาม
แรกที่ฉันได้มายืนอยู่ ณ เมืองพะอัน เห็นบ้านเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน บางช่วงถนนเต็มไปด้วยอาคารเก่าแก่หลังใหญ่โตงดงาม บอกถึงความรุ่งเรืองในอดีต ข้าวปลาอาหารในตลาดอุดมสมบูรณ์แลดูพูนสุข เพราะแม่น้ำสาละวินและลำน้ำสาขาไหลล่องหล่อเลี้ยง ฉันคิดเลยว่าควรแล้วที่กองกำลังกะเหรี่ยงจะต้องการบ้านเมืองของเขาคืนกลับมา
เขตแดนพะอันช่วงหนึ่งชิดชายแดนไทยในอำเภอแม่สะเรียง มีสาละวินไหลผ่านเป็นเส้นพรมแดนธรรมชาติ บริเวณนี่เองที่เป็นจุดสร้างเขื่อนฮัตจีและเว่ยจี ซึ่งสร้างความหนักใจให้แก่ชาวบ้านฝั่งไทยมาหลายปีดีดักในขณะที่ชาวบ้านในพะอันแทบไม่รู้ข้อมูล
นับสิบปีมาแล้วที่เกิดโครงการสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำสาละวิน 13 เขื่อนตอนบนแม่น้ำในเขตประเทศจีนที่เรียกสาละวินว่านู่เจียง และอีก 6 เขื่อนในสาละวินตอนล่าง เขตประเทศเมียนม่าร์และชายแดนไทย-เมียนม่าร์ กระนั้นก็ยังเป็นเพียงโครงการที่ยังไม่มีการเดินหน้า ยกเว้นเขื่อนฮัตจีที่อยู่ในพื้นที่ชายแดนไทย-พม่า ข่าวว่าพร้อมจะสร้างมีให้ได้ยินออกมาเป็นระยะ ชาวบ้านแถบแม่สะเรียงบ้านเราก็หวั่นวิตกและออกมาคัดค้านเป็นระยะเช่นกัน
เขื่อนฮัตจีมีการไฟฟ้าฝ่ายผลิตอินเตอร์ของไทยเราร่วมทุนและเป็นตัวหลักผลักดันโครงการ ภายใต้ข้อตกลงว่าจะขายไฟฟ้าให้แก่กฟผ.ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ นั่นเท่ากับว่าไทยมีส่วนอย่างยิ่งในการเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำสาละวิน ด้วยว่าเขื่อนฮัตจีนี้จะส่งผลกระทบโดยตรงถึงปลายน้ำ
พวกเราได้ลงพื้นที่หมู่บ้านเก๊าะกูริมฝั่งสาละวิน เมืองพะอัน ชุมชนชาวกะเหรี่ยงที่ไม่ได้อยู่บนดงดอยหรือหุบเขา อย่างชุมชนกะเหรี่ยงส่วนใหญ่ในบ้านเรา พวกเขาตั้งหลักปักฐานอยู่ริมน้ำ มีลำห้วยเก๊าะกูชื่อเดียวกับหมู่บ้านไหลลงสู่สาละวิน ริมฝั่งห้วยกับแม่น้ำเป็นที่เพาะปลูกพืชผล ทำนาปลูกข้าวและปลูกถั่วหลังเก็บเกี่ยว
“เมื่อก่อนมีบ้านตั้งอยู่ตรงนั้น” ชาวบ้านชี้มือไกลลิบไปยังกลางแม่น้ำสาละวิน “ต่อมาดินมันหายไป จนต้องย้ายบ้าน”
ชาวบ้านบอกว่าการกัดเซาะแผ่นดินนั้นเป็นเรื่องธรรมดาของแม่น้ำ พวกเขาเข้าใจกฎเกณท์นี้ดี เช่นเดียวกับที่เข้าใจฤดูของแม่น้ำ ในช่วงหน้าฝนน้ำหลากสาละวินจะขึ้นสูงจนท่วมถึงหมู่บ้าน แต่ท่วมอยู่ในระยะเวลาไม่ยาวนาน บ้านเรือนผู้คนที่นี่จึงมีใต้ถุนสูง มีเรือจอดไว้ใต้ถุน บนบ้านจะมีพื้นที่โล่งกว้าง
เจ้าบ้านคนหนึ่งบอกว่าทำบ้านโล่งกว้างไว้เก็บของในยามน้ำท่วม นี่คือสิ่งบ่งบอกถึงการเตรียมพร้อมรับมือน้ำ
แต่มีสัญญาณเตือนบางอย่างที่ทำให้ชาวบ้านเริ่มวิตกกังวลต่อการเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำ ด้วยกระแสน้ำที่แปรปรวนรุนแรงกัดเซาะแผ่นดินในเวลาอันรวดเร็วขึ้น จนกลายเป็นตลิ่งสูงชัน ชาวบ้าน ต่างลงความเห็นว่าน่าจะเกิดจากการสร้างสะพานเมาะละแหม่งข้ามแม่น้ำสาละวิน ที่ทอดเชื่อมเมืองเมาะละแหม่งไปเมาะตะมะ เปิดใช้ไปเมื่อปี 2548
ข้อสังเกตเรื่องการสร้างสะพานที่ชาวบ้านปากอ่าวสาละวินบอกตรงกับชาวบ้านพะอัน ทำให้พวกเราที่มีประสบการณ์เรื่องเขื่อนได้คุยให้ชาวบ้านฟังถึงการเปลี่ยนแปลงของสายน้ำ อันเกิดจากการสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำ ด้วยความวิตกว่าหากเขื่อนฮัตจีเกิดขึ้น สาละวินคงจะเปลี่ยนแปลงมากยิ่งขึ้นหลายเท่า
ทุกคนไม่ได้หวังให้ชาวบ้านวิตกจริต แต่หวังจะให้ชาวบ้านได้ตระหนักและค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อหาหนทางป้องกันทันท่วงที
พื้นที่สร้างเขื่อนฮัตจีส่วนหนึ่งอยู่ในการดูแลของกองกำลังกะเหรี่ยงเคเอ็นยู ที่นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนชาวกะเหรี่ยงมองว่าถึงยังไงเคเอ็นยูคงไม่ยอมให้มีการสร้างเขื่อน ตราบเท่าที่ยังหาข้อยุติในการเจรจาสันติภาพไม่ได้ หรือยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อมและที่อยู่อาศัยของกลุ่มชนสองฝั่งสาละวิน
ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวเนื่องกับสาละวิน นอกจากเชื่อมโยงไปถึงปากท้องและวิถีชีวิตผู้คนสองฝั่ง ยังอาจเป็นการจุดชะนวนสงครามริมฝั่งสาละวินให้ปะทุขึ้นอีกครั้ง
โดย จิตติมา ผลเสวก