เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2559 นางภัทรียา ทองเปิง ชาวบ้านทุ่งป่าคา ตำบลแม่ลาหลวง อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน บุตรสาวของนายชะลอ เต็มสามารถ ชาวบ้านทุ่งป่าคาที่ถูกจำคุกพร้อมกับชาวบ้านอีก 20 กว่าคนในข้อหามีไม้หวงห้ามไว้ในครอบครอง 5 ท่อน เปิดเผยว่าภายหลังการเข้าเยี่ยมพ่อ ที่เรือนจำแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ว่า ในวันที่ 20 มีนาคมนี้ พ่อของตนพร้อมชาวบ้านทุ่งป่าคาอีก4 คน จะได้รับการปล่อยตัวภายหลังจากถูกจำคุกครบ 1 ปีตามโทษที่ได้รับ โดยชาวบ้านจะจัดพิธีรับขวัญทั้ง 5 คนเพื่อเป็นกำลังใจให้ หลังจากถูกจำคุกในคดี ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของคนบ้านป่าที่ต้องตัดไม้บางส่วนเพื่อซ่อมแซมบ้าน โดยตั้งแต่พ่อติดคุกนั้น ตนและญาติก็มาเยี่ยมบ่อยๆ แทบจะทุกสัปดาห์เพราะเป็นห่วงเนื่องจากพ่อป่วยมีความดันต่ำและเป็นลมบ่อยๆ
“ตอนนี้ยอมรับว่าเราเองก็ลำบากมาก ฉันต้องออกจากงานมาดูแลแม่ที่ป่วยความดันเช่นกัน และต้องแบ่งเวลาเลี้ยงลูก 2 คน รายได้เงินสะสมที่มีก็ต้องเอาไปใช้จ่ายในครอบครัวจนหมด แต่ละครั้งก็ต้องฝากเงินให้พ่อไว้ซื้ออาหารดีๆในคุกกินด้วย เชื่อว่าคดีความที่ทำให้ชาวบ้านติดคุกจำนวนมากขนาดนี้เป็นคดีที่ชาวทุ่งป่าคาไม่มีวันลืมเลย ว่าเจ้าหน้าที่รัฐทำร้ายชาวบ้านป่ามากแค่ไหน” นางภัทรียา กล่าว
ด้านนางสมจิต บงกชวณิชกุล อายุ 44ปี ชาวบ้านทุ่งป่าคา กล่าวภายหลังเข้าเยี่ยมสามีที่ถูกจำคุมอยู่เช่นเดียวกันว่า ตนมาเยี่ยมสามีทุกๆสัปดาห์ ถ้าครั้งใดมีเพื่อนบ้านเดินทางมา ก็ขอร่วมสมทบค่าน้ำมัน แต่บางครั้งก็โบกรถเข้ามาแม่สะเรียงเพื่อมาพบสามีให้ได้คุยกันทุกวัน โดยส่วนตัวยังเชื่อว่าแค่คดีมีไม้สักครอบครองไม่กี่ท่อนไม่น่าจะเป็นปัญหา แต่ในเมื่อเกิดขึ้นแล้วตนก็ทำใจยอมรับ และจะหมั่นเดินทางมาเยี่ยมสามีบ่อยๆ เพื่อให้กำลังใจ ทั้งนี้สามีของตนถูกศาลสั่งจำคุก1 ปี6 เดือน จะได้รับการปล่อยตัวในเดือนกันยายน 2559 นี้ ซึ่งหากได้รับการปล่อยตัวแล้วตนอาจจะต้องเดินทางเข้ากรุงเทพหรือหาที่ทำงานรับเงินเดือนจากจังหวัดอื่น เพราะพื้นที่ป่าในหมู่บ้านเริ่มมีข่าวลือว่าอาจถูกทวงคืนผืนป่าเหมือนที่อื่น ถ้าไม่รีบหางานทำในเมืองใหญ่ ครอบครัวจะลำบากมากเนื่องจากลูกๆที่เป็นกำลังหลักของครอบครัวมีรายได้เพียงเดือนละ 3,000-4,000 บาท ไม่พอเลี้ยงดูสมาชิกในบ้าน
“เราจะจำไว้เป็นบทเรียนว่า ตัดไม้แล้วฉันกับผัวลำบากขนาดนี้ เราไม่ยุ่งกับป่าเลยจะดีไหม เพราะถ้าเรายังทำไร่ ทำนาต่อไป เขาเข้ามาจับอีกเราจะเจอคุกอีกไหม ฉันก็กลัวเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีก เราไม่มีเงินจะไปๆมาๆแล้ว มันเปลืองเงินมากถ้าใครติดคุกในเมือง”นางสมจิต กล่าว
ขณะที่นายสราวุธ เชิงบรรพต ชาวบ้านทุ่งป่าคา ซึ่งพ่ออายุ 70 ปีถูกจำคุกในคดีเดียวกัน กล่าวว่าชีวิตในครอบครัวลำบากขึ้นหลังจากพ่อต้องติดคุกเพราะแม่อายุมากแล้ว ซึ่งตามปกติพ่อจะทำนาทำสวน เมื่อไม่มีพ่อทำให้ลูกๆต้องผลัดกันมาทำหน้าที่แทนโดยตนและพี่เขยทำนา
“ผมรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก หากเราติดคุกแทนพ่อได้เราก็ยอม เพราะพ่อแก่แล้ว ที่สำคัญคือเรามีแค่ไม้ท่อนเล็กๆไม่กี่ท่อนซึ่งเอาไว้สำหรับต่อเติมบ้านหรือทำเสา ผนังบ้านเราก็เป็นไม้ไผ่ เราไม่ได้ไปตัดไม้ในป่าเหมือนพวกนายทุน”นายสราวุธ กล่าว และว่าทุกวันนี้ตนต้องเดินทางไปทำงานก่อสร้างที่จังหวัดระยอง เพราะต้องนำเงินมาชดใช้หนี้สินเพราะพ่อได้กู้ธกส.มาเพื่อทำการเกษตร และบางส่วนเราต้องใช้จ่ายในการเดินทางมาเรือนจำ
ดร.เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ นักวิชาการจากสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า หลังจากชาวบ้านได้รับการปล่อยตัวชุดแรก 5 คน เจ้าหน้าที่รัฐควรมีการสอบปากคำชาวบ้านเพิ่มเติมเพื่อติดตามคดีความและสืบสวนถึงนายทุนรายใหญ่ เนื่องจากการลักลอบตัดไม้ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนค่อนข้างวิกฤติ จะเห็นว่าแม้ชาวบ้านจะติดคุกจำนวนมากตั้งแต่ปีที่ผ่านมา สถานการณ์การลักลอบตัดไม้ไม่ได้ดีขึ้น ดังนั้นถ้ารัฐบาลจะเอาจริงเสนอว่าต้องติดตามคดีตามจับกุมนายทุนรายใหญ่ให้ได้
ดร.เพิ่มศักดิ์ กล่าวว่า กรณีทุ่งป่าคานั้นผู้บริหารระดับสูงอย่างอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืชเคยลงพื้นที่ไปเยี่ยมชาวบ้านแล้ว ข้อมูลที่ได้จากการสอบถามชาวบ้านควรนำมาทำวิจัยต่อ เช่น สืบไปให้ชัดว่า ชาวบ้านที่มีไม้ในครอบครองนั้นตัดไม้จากพื้นที่ใด แล้วบริเวณนั้นๆมีตอไม้สักมากหรือน้อย เพราะไม้สักไม่กี่ท่อนที่ชาวบ้านครอบครองดูแล้วไม่น่าจะตัดหลายต้น ถ้าหากเจ้าหน้าที่พบความผิดปกติในพื้นที่ใกล้เคียงกันหลายต้น แสดงว่า ชาวบ้านไม่ใช่ต้นเหตุวิกฤติไม้สักหมดป่าจังหวัดแม่ฮ่องสอน การจับกุมแค่รายเล็กไม่ช่วยให้ปัญหาจบ แน่นอนว่าชาวบ้านอาจทำผิดจริง แต่การจับกุมชาวบ้านที่ผ่านมาไม่ได้ช่วยยุติขบวนการตัดไม้เถื่อน ดังนั้นรัฐบาลควรวิจัยหรือทำข้อมูลเชิงลึก เช่น พิสูจน์ความเก่าใหม่ของท่อนไม้ที่ชาวบ้าน และพิสูจน์ต้นตอ เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมสมบูรณ์ไม่ใช่จับกุมแค่ชาวบ้านเพื่อกลบเกลื่อนขบวนการใหญ่ ถ้าเป็นแบบนี้ปัญหาจะไม่จบ
///////////////