Search

ตั้งวงใหญ่ถกปัญหาชาวเลหลีเป๊ะ รองผวจ.สตูล สั่งท้องถิ่นเจรจาเอกชนเปิดทางสาธารณะ ทหารเรือเข้มประกาศห้ามเอกชนหวงหน้าหาด หัวหน้าอุทยานฯเผยส่งฟ้องศาล 18 คดีเอกชนรุกที่ดิน

ทุ่นเรือที่ทหารเรือนำไปผูกไว้
ทุ่นเรือที่ทหารเรือนำไปผูกไว้

เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2559 ที่ศาลากลางจังหวัดสตูล ได้มีการประชุมระหว่างคณะอนุกรรมการด้านสิทธิสถานะกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัดสตูล อาทิ นายสรเดช สุนทรารชุน รองผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล ทหาร ตำรวจ และสำนักงานอุทยานแห่งชาติตะรุเตา รวมทั้งพลเอกสุรินทร์ พิกุลทอง ประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาความมั่นคงในที่อยู่อาศัย พื้นที่ทำกิน และพื้นที่ทางจิตวิญญาณของชุมชนชาวเล สำนักนายกรัฐมนตรี

หลายฝ่ายร่วมประชุมหาทางออกให้ชาวเล
หลายฝ่ายร่วมประชุมหาทางออกให้ชาวเล

ทั้งนี้คณะอนุกรรมการด้านสิทธิสถานะกลุ่มชาติพันธุ์ฯ ได้รายงานข้อเท็จจริงที่ได้รับฟังจากภาคประชาชน หลังจากลงพื้นที่เกาะหลีเป๊ะตลอด 2วันที่ผ่านมา ทั้งปัญหาที่ดินอยู่อาศัย ที่ทำกินและการใช้ประโยชน์พื้นที่สาธารณะ โดยใช้เวลาประชุมร่วมกันประมาณ 3 ชั่วโมง ได้ข้อสรุป3ประเด็นหลัก ได้แก่ 1. กรณีการจัดระเบียบการจอดเรือนั้นตัวแทนทหารเรือยืนยันว่าจำเป็นต้องมีจุดวางทุ่นอนุรักษ์ปะการัง และกันเขตดำน้ำ เขตว่ายน้ำในหาดพัทยาหรือหาดปาไตดาหยา และหาดซันไรส์ด้านตะวันออกบริเวณใกล้กับโรงเรียนบ้านอาดังและมีขนาดที่เหมาะสมแล้ว และยืนยันว่าบริเวณอื่นที่ไม่มีการวางทุ่นชาวเลมีสิทธิ์จอดเรือตามปกติ ทหารจะเป็นฝ่ายปราบปรามผู้มีอิทธิพลทันทีหากพบว่าเอกชนคุกคามชาวเล

2 . กรณีการขอซ่อมบ้านชาวเลในกลุ่มที่ถูกไล่รื้อและฟ้องร้องดำเนินคดีและการแก้ปัญหาทางสาธารณะ ทางรองผู้ว่าราชการจังหวัดสตูลเสนอให้ตัวแทนชาวเลร้องเรียนผ่านศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดสตูล และมอบหมายให้ฝ่ายปกครองท้องถิ่นเจรจากับเอกชนขอซ่อมบำรุงบ้านได้ตามปกติ ส่วนกรณีการปิดทางสาธารณะนั้นให้เจรจาเอกชนขอเปิดทางหรือสร้างประตูขึ้นแทนกำแพงคอนกรีต 3. ปัญหาข้อพิพาททางที่ดินนั้นทางสำนักงานอุทยานแห่งยานแห่งชาติตะรุเตาจะเป็นผู้สรุปข้อมูลเพิ่มเติมและดำเนินการตรวจสอบต่อไปตามกระบวนการกฎหมาย

นายสรเดช กล่าวว่า อยากให้ทุกฝ่ายทำหน้าที่อย่างโปร่งใสเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข และขอขอบคุณชาวเลเกาะหลีเป๊ะที่ได้นำปัญหามาร้องเรียนจนก่อเกิดการประชุมทุกฝ่ายและได้ข้อยุติที่เป็นที่พอใจ และขอบคุณทุกฝ่ายที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเกาะหลีเป๊ะ

นางแสงโสม หาญทะเล ครูประจำโรงเรียนบ้านเกาะอาดัง และตัวแทนชาวเลหลีเป๊ะ กล่าวว่า ในการแก้ปัญหาเร่งด่วนดังกล่าวหากทุกฝ่ายปฏิบัติได้จริง ก็ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนแก่ชาวบ้านได้อย่างมากเพราะปัญหาชาวเลมีหลายส่วน กรณีข้อพิพาทที่ดินที่เป็นปัญหาเรื้อรังอยากขอให้ทุกฝ่ายตรวจสอบอย่างเป็นธรรมต่อไป

นายชัยยุทธ์ หาญทะเล ชาวเลหลีเป๊ะกล่าวว่า เรื่องความขัดแย้งพื้นที่จอดเรือระหว่างชาวเลกับรัฐ ชาวเลกับเอกชนบางครั้งสร้างความกังวลอย่างมาก เพราะตนเคยถูกลักลอบตัดเชือกผูกเรือมาแล้วหนึ่งครั้งช่วงที่จอดเรือหน้ารีสอร์ทแห่งหนึ่ง เพราะไม่มีที่จอดเนื่องจากบริเวณวางทุ่นหลายแห่งนั้น ทหารห้ามจอด ชาวบ้านไม่กล้าฝ่าฝืนก็เสี่ยงไปจอดที่ใหม่ ครั้นพอไปจอดตรงกับหน้าหาดของรีสอร์ทบางแห่งกลับถูกข่มขู่ กระทั่งถูกลักลอบตัดเชือกทิ้ง โดยไม่ทราบว่าใครทำ จากนั้นชาวเลนับ10รายต้องออกเงินซื้อเชือกใหม่ราคานับเป็นหมื่น ความเดือดร้อนตรงนี้ไม่มีใครเยียวยา และปัจจุบันก็ยังมีเอกชนหลายรายไล่ให้ชาวเลเอาเรือออกไปจากบริเวณหน้าหาดของรีสอร์ท

นายวินัย หมื่นสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาสตูล กล่าวว่า มีปัญหาการจอดเรือมีปัญหาอยู่จริงแต่ไม่รุนแรง โดยปีที่แล้วในอ่าวพัทยาและอ่าวฝั่งตะวันตกทางสำนักงานร่วมมือกับหลายฝ่ายจัดระเบียบแล้ว โดยตกลงกำหนดจุดจอดเรือ วางทุ่นเล่นน้ำและจัดระเบียบได้ดีแล้ว แต่ปัญหาล่าสุดคือปัญหาหาดหน้าโรงเรียนบ้านอาดัง การจัดที่จอดเรือเป็นหน้าที่ของทหารเรือในท้องที่และสำนักงานเจ้าท่าซึ่งเชิญตัวแทนชาวเล ผู้ประกอบการ และหลายฝ่ายมาคุยกันแล้ว โดยเสนอแนวคิดว่าร่องน้ำมี3 แห่งมีการประกาศเขตจอดเรือแล้วเนื่องจากพบปะการังมีความเสียหายในหาดจึงจำเป็นต้องเร่งรัดจัดระเบียบ แต่ยังไม่สำเร็จสมบูรณ์ จึงจำเป็นต้องวางทุ่นเป็นการแก้ปัญหาชั่วคราวก่อนส่วนแนวทางระยะยาวนั้นจะหารือรอบใหม่

ด้านนาวาตรี วีระพงษ์ นาคประสิทธิ์ ผู้บังคับหน่วยปฏิบัติการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งที่ 491 (หลีเป๊ะ) กองทัพเรือภาคที่ 3 กล่าวว่า เรื่องของการวางทุ่นไข่ปลา กำหนดเขตว่ายน้ำ ดำน้ำปะการัง เป็นการอนุรักษ์โดยมีคำสั่งจาก คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้มีการจัดระเบียบเรือเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว และส่งเสริมการท่องเที่ยวให้จังหวัดสตูล ซึ่งเราจัดระเบียบสำเร็จแล้วที่หาดพัทยา แต่กรณีหาดด้านตะวันออกนั้นยังไม่เสร็จสิ้น ทั้งนี้ไม่ใช่แค่การจัดระเบียบจอดเรือในกลุ่มชาวเลเท่านั้นแต่ตนยังสั่งห้ามไม่ให้รีสอร์ทหรือผู้ประกอบการรายใดเข้ามาครอบครองหน้าหาดเพื่อจอดเรือของโรงแรมในพื้นที่ที่ผูกทุ่นเช่นกัน

“ผมไม่เคยคิดถึงประโยชน์ของตนเอง ที่หาดพัทยาทีแรกก็มีคนแย้ง แต่นานๆไปก็สงบ มีทุ่น4-5ที่ ทุกอย่างเรียบร้อยดี ทำให้หลีเป๊ะไม่มีอุบัติเหตุ เช่น นักท่องเที่ยวโดนเรือเฉี่ยวชน และสามารถเที่ยวบนเกาะอย่างปลอดภัยตลอดทั้งปี และขณะนี้จุดที่ห้ามจอดปัจจุบันคือ บริเวณด้านหน้าโรงเรียนบ้านอาดังมีขนาดกว้าง 75เมตร ยาวลงทะเล15 เมตร หน้าไอดีลลิคและหน้าวารินรีสอร์ท ทุ่นทั้งหมดทำเพื่ออนุรักษ์เท่านั้นและยืนยันว่ามีขนาดเหมาะสมแล้วเพราะมีการปรับขนาดเท่ากับบริเวณของพื้นที่ปะการังพอดี และไม่สามารถลดขนาดทุ่นได้อีกจึงขอความร่วมมือชาวเลว่าให้ปฏิบัติตามระเบียบนี้เพราะเดิมทีนั้นขนาดทุ่นใหญ่กว่านี้มาก แต่เพราะทหารประชุมร่วมกับหลายฝ่ายแล้วเห็นใจชาวบ้านจึงเลือกขนาดตามเสียงส่วนใหญ่แล้ว ส่วนเรื่องการใช้ประโยชน์หน้าหาดทรายนั้น ยืนยันว่าทั้งเกาะเป็นพื้นที่สาธารณะและชาวเลมีสิทธิ์จอดได้ทุกที่ยกเว้นบริเวณวางทุ่น ดังนั้นถ้าใครสั่งห้ามจอดให้แจ้งทหารปราบปรามได้ทันที ” นาวาตรี วีระพงษ์ กล่าว

พลเอกสุรินทร์ พิกุลทอง ประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาความมั่นคงในที่อยู่อาศัย พื้นที่ทำกิน และพื้นที่ทางจิตวิญญาณของชุมชนชาวเล กล่าวว่า อยากให้ฝ่ายทหารเรือเป็นคนประสานงานกับผู้ประกอบการกรณีบริเวณหน้าหาดเป็นที่สาธารณะและเจรจาให้เขาหยุดคุกคามชาวเลที่เข้าจอดเรือด้วย เพื่อไม่ให้ละเมิดสิทธิชาวเล ส่วนกรณีที่ดินที่มีเอกสารทับซ้อนที่สาธารณะและการตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ทับซ้อนกับชุมชนเดิมอยากให้อุทยานฯ เร่งรัดส่งข้อมูลตรวจสอบให้แล้วเสร็จและทางคณะกรรมการฯ จะได้ยื่นขอมหมายศาลเพื่อคุ้มครองชั่วคราวแก่ครอบครัวชาวเลที่ถูกบังคับคดีให้รื้อถอนบ้าน และในระหว่างนี้เมื่อกระบวนการตรวจสอบยังไม่เสร็จชาวเลควรมีสิทธิ์ซ่อมแซมบ้านต่อไปตามสิทธิของชุมชนดั้งเดิมที่อยู่มาก่อน

นางเตือนใจ ดีเทศน์ ประธานอนุกรรมการสิทธิสถานะกลุ่มชาติพันธุ์ฯ กล่าวว่า นอกจากข้อสรุปของทางเดินสาธารณะ การซ่อมบ้านเรือน และเรื่องจอดเรือแล้ว อยากฝากให้ทุกฝ่ายในจังหวัดสตูลมีการเคร่งครัดเรื่องเอกชนบุกรุกที่ดินบนเกาะหลีเป๊ะ และมีการกำชับหน่วยงานในสังกัดให้เคารพสิทธิชาวเลกับการใช้ชีวิตต่อไป เช่น เมื่อวานนี้มีชาวเลร้องเรียนเรื่องความต้องการตัดหวายเพื่อทำเครื่องมือหาปลา อยากขอให้อุทยานฯมีการประนีประนอมบ้าง เพื่อให้พวกเขาสามารถดำรงชีวิตได้ตามวิถีดั้งเดิม รวมทั้งทางจังหวัดควรมีการประชาสัมพันธ์หรือทำข้อมูลแจ้งนักท่องเที่ยวเกี่ยวกับข้อมูลชาวเลบนเกาะบ้างเพื่อให้พวกเขามีตัวตนขึ้นมาในยุคการท่องเที่ยวที่เติบโตขึ้นในปัจจุบัน

นายปณพล ชีวะเสรีชล หัวหน้าอุทยานแห่งชาติตะรุเตา กรณีตัดหวายอุทยานฯไม่ได้ห้ามเด็ดขาดหรือจับกุมจริงจัง ทางอุทยานฯมีการผ่อนผันเป็นบางจุด แต่อยากให้ชาวเลทำเรื่องขออนุญาตที่ถูกต้องและใช้ในปริมาณเหมาะสม เพราะหวายเป็นพืชซับน้ำหากโดนตัดทำลายมากๆ จะส่งผลให้เกิดปัญหาแล้ง ดังนั้นอุทยานฯจึงต้องควบคุม นอกจากนี้พื้นที่ใดก็ตามที่มีการหาปลาแล้วทำลายทรัพยากรทางทะเล ทางอุทยานฯ ยืนยันว่าไม่ว่าจะเป็นเรือเอกชนหรือเรือชาวเลเข้าไปในพื้นที่ทางอุทยานฯจำเป็นต้องดำเนินคดีตามกฎหมายทุกราย

นายปณพล กล่าวด้วยว่า สังคมรับรู้ดีว่าชาวลูรักลาโว้ยอยู่บนเกาะหลีเป๊ะมาตั้งปี 2452 ต่อมาเมื่อมีการประกาศเป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติและเกาะหลีเป๊ะเติบโตทางการท่องเที่ยว ยอมรับว่ามีกรณีร้องเรียนเรื่องที่ดินมาโดยตลอด โดยตนไม่สามารถชี้ชัดเบื้องหลังความขัดแย้งได้ แต่ยืนยันว่าความขัดแย้งด้านที่ดินระหว่างอุทยานฯ และชาวเลมีน้อยมาก โดยหน้าที่ของอุทยานฯ หลักคือการดำเนินคดีกับผู้บุกรุกเขตอุทยานฯ โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่มีการปฏิบัติงานตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง และพบว่าพื้นที่อุทยานฯ ส่วนมากถูกบุรุกโดยเอกชน แบ่งได้3 กลุ่มคือ 1 กลุ่มไม่มีเอกสารสิทธิ์แต่มาสร้างอาคาร บ้านพักปลูกพืช หรือใช้ประโยชน์ด้านอื่น ส่วนที่2 คือกลุ่มมีเอกสารสิทธิ์ เช่น นส.3 แต่มีการนำชี้พื้นที่ครอบครองในแต่ละแปลงไม่ครบตามเนื้อที่ที่ปรากฏในเอกสารสิทธิ์ เช่นมีที่ดินจริงแค่ 20ไร่ แต่แจ้งครอบครองที่ดินในนส.3เป็นเนื้อที่กว่า 30ไร่ โดยแจ้งเกิน 10ไร่ เอกสารสิทธิ์ลักษณะนี้พบส่วนมากเป็นเอกชนนักลงทุน หรือผู้ประกอบการจากภายนอก ซึ่งอุทยานฯ อยู่ในระหว่างส่งสำนวนต่อศาลเพื่อดำเนินคดีโดยมี 18 คดีอยู่ในชั้นศาล 12คดีอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวนยังไม่ได้ดำเนินการส่งฟ้องศาล ส่วนที่ 3คือ การตรวจสอบเอกสารสิทธิ์แบบ สค.1 คาดว่าจะมีการตรวจสอบภายใน1-2สัปดาห์นี้ และส่งสำนวนเพื่อดำเนินคดีต่อไปหากพบผู้บุกรุก

“การฝังศพแบบกระจัดกระจายซึ่งมีชาวเลนำศพไปฝั่งที่เขตอุทยานฯฝั่งเกาะอาดังนั้น อุทยานฯไม่เอาผิด แต่กรณีเกาะหลีเป๊ะนั้นฝังไม่ได้แล้ว จะมีแค่สุสานเก่าที่อยู่ใกล้หลุมแยกขยะ และใกล้สุสานโต๊ะคีรีเท่านั้น ดังนั้นเรื่องที่ฝังศพขอให้ชาวเลสบายใจได้ว่าอุทยานฯ ไม่มีการจับกุม แต่เรื่องการก่อสร้างอาคารต่างๆบนที่ สค.1 นั้นไม่ว่าจะเป็นใคร หากเราพบว่าบุกรุกเขตอุทยานฯ เพื่อก่อสร้างเราก็จำเป็นต้องทำตามกฎหมาย” นายปณพลกล่าว

///////////////

On Key

Related Posts

นายจ้างสีขาว-ลูกจ้างต่างด้าวหวั่นข้อมูลลงทะเบียนแรงงานหลุดถึงมือรัฐบาลพม่า-เชื่อถูกนำไปเช็คบิลแน่หลังรัฐบาลทหารพม่าถังแตกสั่งเรียกเก็บภาษี 25% ชาวมอญตื่นสั่งลูกเลิกเรียนแห่กันเข้ามาขุดทองในไทย

เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2568 นางนิลุบล พงษ์พะยอม ตัวRead More →

USIPแนะไทยชิงธงนำปราบปรามแหล่งอาชญากรรมริมเมย ชี้มีนาคมอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่-จีนจับชิตู เชื่อแดนมังกรต้องการขยายอิทธิพลเปิดช่องให้รัฐบาลทหารพม่ากุมพื้นที่ ขณะที่ 32 เหยื่อชาวอินโดฯหนีข้ามแดนทะลักไทย

เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2568 นายเจสัน ทาวเวอร์ ผู้อำRead More →