หนังสือพิมพ์เวียงจันท์ ไทมส์ รายงานอ้างการเปิดเผยของนายเรวัต สุวรรณกิตติ รองกรรมการผู้จัดการบริษัท ไซยะบุรี เพาเวอร์ ผู้บริหารเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีที่ถูกวิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมและ การทำลายสิ่งแวดล้อมของแม่น้ำโขงมาโดยตลอด ว่าบริษัทจะปรับเปลี่ยนแบบก่อสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าแห่งนี้แม้ว่าจะต้องใช้ เงินลงทุนในการออกแบบใหม่อีก 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3,100 ล้านบาท)
แต่องค์การแม่น้ำโลก เอ็นจีโอด้านสิ่งแวดล้อมในสหรัฐอเมริกา ติงว่าแม้จะมีการเปลี่ยนแบบของเขื่อนแต่ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการวางไข่ของ ปลาและสัตว์น้ำในแม่น้ำโขงอยู่ดี
สื่อลาวรายงาน โดยอ้างแหล่งข่าวไม่เปิดเผยนามด้วยว่า การเปลี่ยนรูปแบบของเขื่อนเป็นไปตามคำแนะนำของบริษัทที่ปรึกษาปอยรี แห่งฟินแลนด์ และ นาซิอองนาล ดู โรน แห่งฝรั่งเศส
ขณะเดียวกัน ไซยะบุรีเพาเวอร์ พยายามลดแรงกดดันจากประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นสมาชิกคณะกรรมการแม่น้ำโขง และแหล่งเงินทุน ทั้งธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) และ ธนาคารโลก โดยเชิญตัวแทนจากสถานทูตกัมพูชา เวียดนาม และ ไทย รวมทั้งธนาคารทั้งสองแห่ง เข้าเยี่ยมชมพื้นที่ก่อสร้างเขื่อนไซยะบุรีมูลค่า 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.08 แสนล้านบาท) ในแขวงไซยะบุรีทางตอนเหนือของลาวเมื่อวันอังคาร (17 ก.ค.) ที่ผ่านมา
เมื่อวันที่ 8 ธันวาคมคณะกรรมการแม่น้ำโขงมีมติให้ลาวชะลอการก่อสร้าง ออก ไปเพื่อทำการศึกษาผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมจากการสร้างเขื่อนไซยะบุรี เสียก่อน
เอมี ทรานเดม โฆษกองค์การแม่น้ำโลกประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า ผู้สร้างเขื่อนไม่อาจทราบผลกระทบต่อการอพยพวางไข่ของสัตว์น้ำในแม่ น้ำโขงได้ จนกว่าจะมีข้อมูลพื้นฐานที่เพียงพอ และ มีความเข้าใจต่อระบบนิเวศน์ของแม่น้ำโขงเสียก่อน ทั้งยังระบุด้วยว่าเขื่อนแห่งนี้จะใช้บันไดปลาที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ไม่ เคยทดลองใช้กับแหล่งน้ำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาก่อน
ตัวแทนองค์การแม่น้ำโลกยังให้ความเห็นเพิ่มเติมอีกว่า สิ่งที่สำคัญคือแม่น้ำโขงเป็นแหล่งน้้ำในทวีปที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาที่ ใหญ่ที่สุดในโลก และมีจำนวนสัตว์น้ำรวมทั้งความหลากหลายของสายพันธุ์ที่แตกต่างกันอย่าง มากระหว่างพื้นที่ทางตอนบนและตอนล่างของแม่น้ำ ดังนั้นการก่อสร้างบันไดปลาเพื่อให้สัตว์น้ำได้ใช้เป็นทางผ่านไปยังแหล่ง ขยายพันธุ์ได้ดีจึงเป็นเรื่องยากยิ่ง และ มีต้นทุนสูงมาก
รัฐบาลลาว ประเมินว่า จะมีรายได้จากสัมปทานเขื่อนไซยะบุรีเป็นเวลา 29 ปี ถึง 3.9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 12 ล้านล้านบาท)และทางการลาวได้ถือหุ้น 20 %ของโครงการเขื่อนแห่งนี้ที่บริษัทช.การช่าง ของไทยเป็นผู้ถือหุ้นหลัก
(กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 20 กรกฎาคม 2555)