โดย จารยา บุญมาก สำนักข่าวชายขอบ
นานแล้วที่ประเทศไทยต้องอยู่ภายใต้ระบบของเกษตรกรรมพันธะสัญญา ที่มีบริษัทเอกชนขนาดใหญ่พยายามดึงเกษตรกรเข้าสู่ระบบ โดยใช้คำเชิญชวนในลักษณะพันธะสัญญา 3 รูปแบบ คือ 1 การประกันรายได้ เหมาะกับเกษตรกรที่ยังไม่มีประสบการณ์ด้านการตลาด หรือเรียกว่าเป็นระบบจ้างเลี้ยง 2 การประกันราคา เหมาะกับเกษตรกรที่ไม่ต้องการความเสี่ยงด้านราคาและตลาด โดยตกลงราคารับซื้อล่วงหน้าระหว่างบริษัทกับเกษตรกร และ 3 การประกันตลาด เกษตรกรไม่อยากทำตลาดเอง ให้บริษัทมาเป็นคนรับซื้อตามความต้องการของบริษัท ทั้ง 3 รูปแบบดังกล่าวล้วนสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลงทุนอย่างยิ่ง
ชุมชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสานอย่าง ตำบลเลิงแฝก อำเภอกุดรัง จังหวัดมหาสารคาม ก็เผชิญกับระบบดังกล่าวเช่นกัน ด้วยขณะนี้มีการลงทุนของบริษัทผลิตน้ำตาลขนาดใหญ่หลายแห่ง ที่สนับสนุนให้เกษตรกรปลูกอ้อยเพื่อส่งขายยาวนานเกือบ 20 ปี ทำให้เกษตรกรที่เคยใช้ชีวิตแบบพอเพียง เข้าสู่ระบบหนี้สินอันเกิดจากการลงทุนเพื่อผลิตอ้อยขายให้กับโรงงานน้ำตาล และสภาพแวดล้อมในพื้นที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการปล่อยน้ำเสียจากโรงงาน ปัญหาการแย่งน้ำระหว่างเกษตรกรที่ลงทุนด้านการปลูกอ้อย กับเกษตรกรทั่วไป ปัญหาการแย่งน้ำระหว่างโรงงานผลิตน้ำตาลและเกษตรกรรายอื่นที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง และปัญหาการเผาไร่อ้อย ที่สร้างมลภาวะทางอากาศ ส่งผลให้เกิดฝุ่น ควัน ฯลฯ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนทำให้ชุมชนเลิงแฝกมีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงจากการลงทุนขนาดใหญ่ของบริษัทน้ำตาล
“ทองพูน บุญแสน” อายุ 46 ปี ชาวบ้านบ่อแกบ่อทอง ตำบลเลิงแฝก หนึ่งในเกษตรกรไม่กี่คนที่ทำตัวกบฏต่อระบบเกษตรพันธะสัญญา เปิดเผยในงานเสวนาหัวข้อ “วิถีชีวิตชุมชนที่เปลี่ยนไปของชาวไร่อ้อย” ว่า ตั้งแต่แต่งงานแล้วย้ายมาอยู่กับภรรยานั้น แรกเริ่มเดิมที่สมาชิกในชุมชนมีความสุขดีกับการใช้ชีวิตตามรูปแบบเกษตรกรทั่วไปในภาคอีสาน มีการเลี้ยงวัว ควาย ทำนาและพออยู่พอกิน แต่เมื่อราว 20 ปี ที่แล้วก็มีบริษัทน้ำตาลมาก่อตั้งในพื้นที่ ทางบริษัทใช้เวลาไม่นานในการดำเนินโครงการก็สามารถดึงเกษตรกรเข้าสู่ระบบได้จำนวนมาก โดยมีการประกันรายได้อ้อยในราคาสูง ปลูกครั้งหนึ่งคนก็ได้รายได้หลายหมื่น ใครมีที่มากก็ได้รับเงินมาก ใครมีที่น้อยรายได้ลดหลั่นไปตามขนาดของพื้นที่ปลูก ส่วนตัวไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับรายได้ที่คนในชุมชนได้รับ และไม่รู้สึกว่าอยากจะทำแบบนั้น เพราะคิดอย่างเดียวว่า “ที่ดินคือของๆ เรา เราต้องปลูกพืชให้ได้หลายชนิดเพื่อประหยัดค่าอาหาร”
เวลาผ่านไปราว 10 ปี ทองพูน ได้รับฟังปัญหาของชาวไร่อ้อยที่ต้องเผชิญกับการกดราคา ในภายหลัง โดยถูกบริษัทหักค่าขนส่งอ้อย หักค่าคุณภาพอ้อยที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้รายได้ของชาวบ้านเริ่มลดลง และในที่สุดก็ต้องหาวิธีการกู้เงินเพื่อมาลงทุนเพิ่มเติมหวังได้กำไร แต่กลับกลายเป็นว่า ไม่ได้ผล เกษตรกรต้องทนทำต่อไปเพื่อแก้ปัญหาหนี้สินตามมา
“ในส่วนของตัวจังหวัดนั้น เขาก็ประกาศนโยบายตลอดว่า สารคาม ไม่เหมาะกับการปลูกพืชแบบข้าว อ้อย คือ ทำรายได้ดีกว่า เศรษฐกิจสารคามดีขึ้นเพราะมีการปลูกอ้อย ผมจำได้ว่าเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาเขาพูดกันถึงรายได้ปลูกอ้อยที่กระตุ้นเศรษฐกิจทำให้เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยเป็นพืชหลักมีรายได้รวมถึง 2 พันล้านบาทต่อปี แต่พอมาสอบถามคนในหมู่บ้านกลับไม่มีใครพอใจในรายได้ เพราะรายได้ที่ได้มาต้องลงทุนไป และบางคนก็ยอมเลิกปลูกข้าวไปปลูกอ้อยเพื่อหาเงินมาซื้อข้าวกิน บางคนมาระบายให้ผมฟังวา เมื่อก่อนอยู่กับลูกเมีย อยู่กินแบบวันต่อวันก็จริง ไม่มีเงินแสน เงินหมื่นในมือ แต่มีกิน เช่น ตกค่ำผมไปหาจับกบ จับเขียด มากิน หรือตอนเย็นหลังเลิกทำนาไปหาปลา แต่ตอนนี้แม้แต่ปลายังต้องซื้อปลาเลี้ยงมากิน ผักก็ซื้อเอา มะเขือ แตงกวา พริก กระเทียม หลายคนเจอสภาพนี้ ผมเห็นแทบทุกบ้านที่ลงทุนปลูกอ้อยมีรถยนต์ขับ ไม่มีรถอีแต๋น หรือรถไถเดินตามเหมือนเคย แต่พวกเขากลับไม่มีความสุขเลย เพราะรายได้ต่ำกว่ารายจ่าย” ทองพูน เล่าถึงความเปลี่ยนแปลง
ในงานเสวนา “ทองพูน” มีโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากชาวกัมพูชาและทราบว่า ชุมชนบางแห่งในจังหวัดเกาะกง และจังหวัดโอดอเมียนเจย หรือ อุดรมีชัย ต้องล่มสลายจากอุตสาหกรรมน้ำตาล เพราะรัฐบาลให้สัมปทานที่ดินแก่เอกชนทำให้เกษตรกรต้องกลายมาเป็นแรงงานข้ามชาติในหลายประเทศ ส่งผลให้ชุมชนไร้ความเข้มแข็งและไม่อาจพัฒนาต่อไปได้ แต่สำหรับประเทศไทย “ทองพูน” มองว่า รัฐบาลไม่ได้มีอำนาจกับเกษตรกรมากขนาดนั้น ที่ดินหลายแห่งยังเป็นสิทธิของเกษตรกรเอง ดังนั้นหากเลี่ยงธุรกิจเชิงเกษตรพันธะสัญญา ได้ก็ควรหลีกเลี่ยง กรณีจังหวัดมหาสารคามนั้น “ทองพูน” ให้นิยาม เป็นเกษตรชวนเชื่อ แม้จะไม่ใช่เกษตรพันธะสัญญาเต็มรูปแบบแต่เสี่ยงต่อการทำให้ชุมชนล่มสลายได้เช่นกัน เพราะเมื่อเกษตรกรเป็นหนี้มากขึ้น เขาก็ต้องทิ้งบ้านเกิดเข้ามาขายแรงงาน เพื่อหารายได้เสริม และนั่นคือสัญญาณอันตรายของการสูญสิ้นเกษตรกรไทย
สำหรับ “ทองพูน” นั้นเมื่อวิถีชุมชนแบบเรียบง่าย กลายเป็นชุมชนที่ผูกติดกับอุตสาหกรรมน้ำตาล เขากลับไม่ยอมศิโรราบกับระบบนั้น แต่เลือกที่จะเดินบนเส้นทาง “เศรษฐกิจพอเพียง และเข้าสู่การสร้างเขตปลูกอาหารปลอดภัยอย่างยั่งยืน จนได้รับการยกย่องเป็นปราชญ์ชาวบ้านแห่งชุมชนและเป็นวิทยากรพิเศษ ให้แก่นักศึกษามหาวิทยาลัยในภาคอีสานหลายแห่ง
“ผมไม่เคยเชื่อว่า อุตสาหกรรมน้ำตาลจะทำให้ผมรวย คนที่รวยคือนายทุน เพราะงั้นผมเลือกจะจนเหมือนเดิมแต่ไม่มีหนี้จะดีกว่า เพราะผมไม่อยากหาเงินเพื่ออนาคต ผมเลยหันมาทำที่ดินเล็กๆ ไม่ถึง 10ไร่ เริ่มจากเอาไม้ยืนต้นมาลง จากนั้นก็เอาพืชพวกเถา สมุนไพรมาลงแซม ปลูกไปเรื่อยๆ และมีการปรับดินให้ดีขึ้นในส่วนดินที่เสียไปเพราะมีที่ติดกับที่ดินของเกษตรกรทำไร่อ้อย บางครั้งก็ได้รับสารเคมีจากเขาด้วย ผมเลยเลือกเอาวัวมาเลี้ยง เพื่อให้ได้ปุ๋ยจากมูลวัวมาทั้งคอกลง รวมถึงมีเศษไม้ใบหญ้าบ้าง ในช่วง 2 ปีแรกจะไม่ได้ผล โดยเฉพาะหน้าร้อนถึงแม้จะรดน้ำทุกเช้าเย็นก็ตายเพราะมันไม่มีไม้ยืนต้นคลุม จนปีที่ 3-4 จึงได้ผล ดินฟื้นตัว จากนั้นก็ปลูกข้าว นอกนั้นผมก็มีที่ดินอีกส่วนหนึ่งที่ผมแบ่งไว้สำหรับปลูกผักผสมผสาน ปลอดสารพิษ เพื่อให้ครอบครัวได้บริโภคอาหารที่ปลอดภัย ที่ผลิตเอง” ทองพูน กล่าว
ปัจจุบันนี้ “ทองพูน” ได้สานต่อแนวคิดอาหารปลอดภัยและริเริ่มชวนเกษตรกรที่ต้องการปลดแอกตัวเองจากอดีตผู้ปลูกอ้อยมาเป็นเกษตรกรปลูกข้าวอินทรีย์ และปลูกผักปลอดสารพิษเพื่อบริโภคภายใต้ “โครงการชุมชนบ่อแกบ่อทองร่วมใจสร้างพื้นที่อาหารปลอดภัยใส่ใจสุขภาพ” ซึ่งมีนักศึกษาจากหลายมหาวิทยาลัยเข้ามาเรียนรู้
“ผมแค่หวังว่า เยาวชนไทยที่เข้ามาดูงานผม เขาจะไม่เป็นเหยื่อเกษตรกรเชิงอุตสาหกรรม เหมือนรุ่นพ่อแม่ ผมไม่ได้ชี้ชัดว่าเกษตรกรปลูกอ้อยคิดผิด แต่ผมมองว่า วิถีชีวิตเดิมๆ ที่ดีอยู่แล้ว เมื่อมีทุนเข้ามา ชุมชนมีความเสี่ยงสูงมากจะตามกระแส ผมไม่อยากให้ประเทศไทยกลายเป็นเหมือนเกษตรกรชาวกัมพูชา ที่ต้องจากบ้านไปใช้แรงงานดังนั้น หากมีโครงการเล็กๆ ที่พอจะช่วยได้แบบนี้ ผมว่ามันก็ยังดีกว่าเราไม่ทำอะไร ตอนนี้คนเป็นร้อยครัวเรือนเข้ามาร่วมมือกับโครงการ ผมหวังว่าสารคามจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม หากพวกเขารู้เท่าทันธุรกิจน้ำตาล” ทองพูนเล่าถึงความคาดหวัง
ด้านฮอย เมย อดีตเกษตรกรชาวกัมพูชาที่ต้องหนีจากชุมชนซึ่งถูกเผาไล่ที่เพื่อปลูกอ้อยส่งโรงงานน้ำตาล กล่าวเสริมว่า ตนสนับสนุนแนวคิดของทองพูนและเกษตรกรในเครือข่ายฯ อย่างมาก เพราะทุกวันนี้ตนไม่มีแม้ที่ดินจะปลูกอะไรกินเลย และไม่รู้ว่าอนาคตจะได้กลับไปเป็นเกษตรกรอีกหรือไม่ จากประสบการณ์ส่วนตัวอยากให้คนไทย รักษาผืนดินที่มีคุณค่าไว้ เพราะสำหรับเกษตรกรแล้ว ที่ดินคือชีวิต
“ตอนฉันยังเด็ก ฉันเข้าป่า เจอเห็ด ฉันอยู่บ้านมีต้นมะขาม มีขมิ้น มีมะม่วง และมีผักที่ปลูกเองรอบๆ บ้าน มีที่นาปลูกข้าวไว้กิน ตอนนั้นฉันมีความสุขมาก แต่พอโตขึ้นได้มีโอกาสทำนาในที่ดินไม่ถึง10 ปี หลังแต่งงานแล้วแยกจากพ่อแม่ ก็มีรัฐบาลเขามาเผาไล่ที่ เพราะมีอุตสาหกรรมน้ำตาลไทยเข้าไปขอเช่าที่ดินปลูกอ้อย ตอนนั้นแม้แต่หม้อหุงข้าวฉัน ก็แบกหนีมาไม่ได้ แต่ก็คิดว่า ในเมื่อไม่มีที่ดินสำหรับปลูกข้าวก็ไม่มีอะไรแล้วที่มีค่าสำหรับฉัน เราไม่ได้กินน้ำตาลเป็นอาหาร กินอ้อยเป็นอาหาร และเราไม่ได้ถูกจ้างเพื่อปลูกอ้อย เราไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย มีแต่เสียกับเสีย คนไทยโชคดีกว่าเยอะที่มีสิทธิ และฉันคิดว่าถ้าประท้วงได้ก็ประท้วงปกป้องที่ดินของตัวเองไปเลย อย่ายอมแพ้ เพราะถ้าคุณไม่อยากมีชีวิตแบบคนในชุมชนของฉัน ที่ต้องมารับจ้างก่อสร้างในประเทศอื่น เหมือนลูกชายฉัน ก็ต้องรักษาที่ดินไว้ให้ดี” ฮอย เมยทิ้งท้าย
/////////////////////////////////////////////