
เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2559 องค์กรด้านสิ่งแวดล้อมของไทย 4 แห่ง คือ กลุ่มอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและสิ่งแวดล้อม สมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย มูลนิธิสืบนาคะเสถียร และมูลนิธิโลกสีเขียว ร่วมกันส่งหนังสือถึง พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เพื่อขอให้ทบทวนการก่อสร้างฝายประชารัฐในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ที่กำลังมีการเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จ 8,984 แห่ง ภายในปี 2559 นี้

ดร.นณณ์ ผาณิตวงศ์ กลุ่มอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ กล่าวว่า โครงการก่อสร้างฝายประชารัฐของรัฐบาลกำลังนำไปสู่การทำลายระบบนิเวศในพื้นที่ป่าต้นน้ำ เนื่องจากฝายถูกสร้างโดยไม่ได้คำนึงถึงสภาพความเหมาะสมของพื้นที่ป่าและลำธาร เนื่องจากมีบทเรียนจากการสร้างฝายกั้นลำธารน้ำตกห้วยทรายเหลือง ที่เคยมีการสำรวจในปี 2552-2553 ที่ส่งผลให้โพล่งหินที่เป็นอาศัยของปลาค้างคาวถูกตะกอนทรายทับถมจนหมด หรือการพบว่า แนวฝายปิดกั้นจนปลาไม่สามารถว่ายลงมายังแหล่งน้ำสายหลักได้ เป็นผลให้ปลาหลายชนิดต้องหายไปจากน้ำตกห้วยทรายเหลือง
“ผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังการสร้างฝายที่น้ำตกห้วยทรายเหลืองเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดว่า ฝายที่ถูกสร้างในพื้นที่ป่าอุดมสมบูรณ์กำลังทำลายระบบนิเวศของแหล่งน้ำ ดังนั้น การสร้างฝายในแหล่งน้ำต่าง ๆ ควรต้องคำนึงถึงสภาพป่าในพื้นที่ว่าเป็นป่าเสื่อมโทรมหรือไม่ หรือมีความต้องการใช้น้ำหรือไม่ด้วย” ดร.นณณ์ กล่าว

ทั้งนี้ เนื้อหาสำคัญในจดหมายระบุว่า มีความกังวลต่อโครงการด้วยเหตุผลดังนี้ 1.การสร้างฝายนั้นทำให้เกิดการตกสะสมของตะกอนดินทรายหลังฝาย ซึ่งจะเป็นการทำลายถิ่นอาศัยของสัตว์น้ำในลำธาร เพราะในเขตป่าอนุรักษ์ส่วนใหญ่เป็นแหล่งอาศัยของปลาที่เป็นสัตว์หายาก ใกล้สูญพันธุ์ มีการกระจายพันธุ์แคบ เป็นสัตว์เฉพาะถิ่นของประเทศไทยกว่า 100 ชนิด และยังเป็นถิ่นอาศัยของกลุ่มสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก สัตว์เลื้อยคลาน นก ปู แมลงน้ำ ฯลฯ ซึ่งหลายชนิดเป็นสัตว์ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ การสร้างฝายซึ่งเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศลำธารดังกล่าว จึงส่งผลกระทบต่อสัตว์เหล่านี้ไม่มากก็น้อย โดยมีกรณีตัวอย่างการสร้างฝายที่น้ำตกห้วยทรายเหลือง อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ในปีพ.ศ.2553
2.ฝายส่วนใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้น อาจจะอยู่ในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม เพราะสร้างในป่าอนุรักษ์ที่มีความชุ่มชื้นและเป็นลำธารถาวรอยู่แล้ว นอกจากจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แล้ว ยังส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศน้ำไหลอย่างรุนแรง เพราะเมื่อตะกอนตกสะสมจนล้นฝาย จะทำให้ลำธารเสียสภาพการเป็นทางไหลของน้ำ และน้ำที่ไหลหลากออกสองฝั่งยังทำลายระบบนิเวศป่าไม้ริมลำธารอีกด้วย
3. ลำธาร/ห้วยในป่ามีใบไม้ เศษไม้มาก ซึ่งโดยปรกติแล้วจะถูกพัดลงแหล่งน้ำด้านล่างซึ่งมีขนาดใหญ่ การสร้างฝายจะเป็นการดักจับวัสดุเหล่าไว้ ซึ่งการกักน้ำให้นิ่งอยู่หลังฝายจะทำให้เกิดการเน่าเสียอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มีผลต่อคุณภาพน้ำ และไม่เหมาะต่อการใช้ประโยชน์ของสัตว์ป่าในที่สุด
จดหมายระบุว่า ดังนั้น การสร้างฝายไม่ควรมองแต่เพียงแค่น้ำ แต่ต้องคำนึงถึงความหลากหลายทางชีวภาพในระบบนิเวศนั้น ๆ การสร้างฝายมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับพื้นที่ ไม่มีความจำเป็นสำหรับป่าในเขตอนุรักษ์ซึ่งมีความสมบูรณ์อยู่แล้ว แต่จะมีประโยชน์ในพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมซึ่งไม่สามารถเก็บความชื้นได้ การสร้างจึงควรสำรวจพื้นที่และสร้างฝายตามความเหมาะสม ให้สอดคล้องกับธรรมชาติในแต่ละลำธารและพื้นที่ที่มีความแตกต่างกันทั้งทางด้านภูมิศาสตร์ น้ำ และระบบนิเวศ มิใช่การกำหนดจำนวนฝายที่ต้องสร้างในแต่ละพื้นที่แบบปูพรมเป็นพิมพ์เขียวเหมือนกันทั่วทั้งประเทศ ซึ่งจะทำให้เกิดการสร้างฝายในบริเวณที่ไม่จำเป็น และเป็นการรบกวนระบบนิเวศลำธารดังกล่าว
ทั้งนี้ รายงานการสำรวจสัตว์น้ำจากดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ ปี 2553 ที่มีการสำรวจน้ำตกห้วยทรายเหลือง และน้ำตกวชิรธาร พบว่า ก่อนมีการสร้างฝายชั่วคราวในปี 2552 นั้น สำรวจพบปลาค้างคาว (สัตว์ประจำถิ่นของดอนอินทนนท์ ไม่พบที่ใดในโลก และเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง) และปูน้ำตก เป็นจำนวนมาก อีกทั้งเป็นน้ำตกห้วยทรายเหลืองยังเป็นจุดที่เคยมีการถ่ายภาพปลาค้างคาวหัวเหลี่ยม ที่คาดว่าจะเป็นปลาชนิดใหม่ของโลก แต่ภายหลังในปี 2553 ที่มีการสร้างฝายชั่วคราวขึ้น จุดสำรวจเหนือน้ำตกวชิรธารยังอยู่ในสภาพดี พบสัตว์น้ำหลายชนิดใกล้เคียงกับปี 2552 แต่จุดสำรวจน้ำตกห้วยทรายเหลืองได้รับผลกระทบต่อระบบนิเวศอย่างรุนแรง สัตว์น้ำที่เคยอาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าวหายไปหมด และกระทบต่อเนื่องในส่วนอื่น ๆ ของระบบนิเวศ และห่วงโซ่อาหาร เช่น การลดลงของพื้นที่อาศัยของแมลงน้ำ ที่กระทบต่อนกที่หากินแมลง หรือการหายไปของประชากรปูน้ำตก ที่เป็นอาหารของเต่าปูลู จึงเสนอให้ทำการรื้อฝายในบริเวณห้วยทรายเหลืองทั้งหมดและฟื้นฟูระบบนิเวศลำธารให้กลับคืนสู่สภาพเดิม
//////////////



