เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2559 ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีเวทีเสวนาหัวข้อ “พรบ.แร่ …นี่มันแย่จริงๆ” ซึ่งจัดขึ้นภายใต้กิจกรรม “ก้าวไปด้วยกัน : People Go Network forum ใส่ใจรัฐธรรมนูญกับสิทธิมนุษยชน สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน”
นายเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ผู้ประสานงานกลุ่มนิเวศวัฒนธรรม กล่าว่า ภายหลังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ผ่านร่างพระราชบัญญัติ (พรบ.) แร่ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ที่ผ่านมานั้น ภาคประชาชนมีความกังวลอย่างยิ่งว่าจะนำมาสู่การดำเนินการของกฎหมายที่ไม่มีความเป็นธรรมต่อชุมชนในฐานะเจ้าของทรัพยากรแร่ โดยที่ผ่านมาทุกรัฐบาลภาคประชาชนพยายามผลักดันให้แก้กฎหมายแร่มาโดยตลอด เพื่อจะได้ไม่ต้องใช้พรบ.แร่ พศ.2510 ซึ่งการต่อสู้กว่า 10 ปีที่ผ่านมาของภาคประชาชนส่งผลให้กฎหมายแร่ไม่ผ่านมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เลยสักครั้ง แต่มารัฐบาลชุดนี้ด้วยเหตุผลที่ว่า หลายภาคส่วนมีการเสนอแก้ไขเนื้อหาหลายครั้งทำให้ได้ร่างพรบ.ฉบับใหม่ที่ค่อนข้างจะไม่น่าเกลียดเท่าฉบับกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ แต่ว่าก็ยังไม่ดีพอมากนัก
นายเลิศศักดิ์ กล่าวต่อว่า ในการเสนอแก้ไขพรบ.แร่ที่ผ่านมานั้น ต้องการให้มีการแก้ไข 3 เรื่องหลัก คือ 1 เรื่อง Mining Zone หรือพื้นที่ทำเหมืองแร่ เนื่องจากกฎหมายแร่เดิมนั้นเอกชนที่สัมปทานแร่ไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนั้น หมายถึงกรณีที่อยากใช้ที่ดินในสัมปทานต้องไปขออนุญาตจากส่วนกฎหมายนั้นๆ เช่น ทำเหมืองในเขตอุทยานแห่งชาติ ก็ต้องขออนุญาตกรมอุทยานฯ และใช้กฎหมายของกรม ซึ่งเป็นอุปสรรคในการดำเนินการขอสัมปทานและก่อเกิดความล่าช้า กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) จึงอยากเปลี่ยนหลักการดังกล่าวให้ง่ายขึ้น 2 ระยะเวลาในการขอประทานบัตร คือเริ่มแรกนั้นการขอประทานบัตรต้องใช้เวลาในการขอนาน และหลายกระบวนการ ร่างกฎหมายฉบับใหม่อยากให้มีการร่นเวลาเร็วขึ้น ซึ่งประชาชนก็ไม่เห็นด้วย 3 กพร.ต้องการเป็นหน่วยงานหลักที่ใครมาขอสัมปทานแล้วจบที่กพร.เท่านั้น เน้นการทำงานแบบ one stop service
“การที่ สนช. ผ่านกฎหมายฉบับนี้แน่นอนว่าไม่ได้ถูกใจ กพร.มากนัก และอ้างว่ามีการแก้ไขให้ดีกว่าเดิม แต่ลึกๆ แล้ว ประชาชนเองก็ยังไม่ได้รับอะไรจากกฎหมายนี้ ผมเองยอมรับว่ากฎหมายนี้ดีขึ้นกว่าฉบับที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ แต่ไม่ได้ดีมาก มีคนถามผมว่าจะชื่นชม สนช.ไหม ผมยังไม่อยากจะชื่นชมชมเลย เพราะกฎหมายที่ผ่าน สนช.ไปนั้น มีบทบัญญัติหลายประการที่ไม่ดีพอ เช่น มาตรา 13 ระบุว่า ให้กพร.สามารถนำแหล่งแร่ที่ใดก็ได้ หากเห็นว่าสมควรลงทุนก็เอาไปให้เอกชนประมูลได้ มาตรา 49 มีการแบ่งประทานบัตร 3 ประเภท 1 คือ ทำเหมือง 100 ไร่ ประเภทที่ 2 คือ ขนาด 625 ไร่และประเภทที่ 3 มากกว่า 625 ไร่ และหากเป็นประเภทที่ 1 คือไม่ต้องทำแบบประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA แถมยังให้ผู้ว่าฯ เป็นคนให้ประทานบัตรเรื่องนี้อันตรายมาก ทำไมถึงอันตรายก็เพราะเอกชนที่จะขอประทานบัตรเขามีทางเลือกในการขอที่ดีกว่าเดิมเร็วกว่าเดิม นั่นคือกรณีพบแหล่งแร่ขนาดใหญ่ หากต้องทำ EIA เขาก็กลัวจะช้า กลัวไม่ผ่าน เขาก็ต้องเลือกทำที่ง่าย ยกตัวอย่างเช่น สมมติผมไปเจอแหล่งแร่ ราว 1,200 ไร่ แล้วตามกฎหมายเดิมของปี 2510 ผมจะต้องขอประทานบัตรแบ่งเป็น 4 แปลง ๆ ละ 300 ไร่ แต่กฎหมายใหม่นี้ผมจะขอทีละ 100 ไร่ แบ่งเป็น 12 แปลงแทนดีกว่าเพรสามารถขอกี่แปลง ติดต่อกันก็ได้ โดยไม่ทำ EIA นี่ละช่องโหว่ของกฎหมายนี้” นายเลิศศักดิ์ กล่าว
นายเลิศศักดิ์ กล่าวว่า ต่อมากรณีสำคัญที่สุดคือ พรบ.ฉบับนี้บอกไว้ว่า โรงแต่งแร่ หรือโรงประกอบโลหะกรรมในเขตเหมืองแร่ ต่อไปไม่ต้องขอใบอนุญาตทำโรงประกอบต่อไป ซึ่งต่างจากกฎหมายเก่า ปี 2510 ที่ระบุว่า ถ้าจะมีโรงประกอบโลหะกรรมจะต้องขออนุญาตต่างหาก แต่กฎหมายฉบับนี้ประทานบัตร สัมปทานแร่ได้พื้นที่ใดก็สร้างโรงประกอบโลหะกรรมได้เลยไม่ต้องขอให้ยุ่งยาก ส่วนตัวมองว่ากฎหมายแร่ไม่มีฉบับไหนดีพอ และไม่เห็นว่า กฎหมายแร่ฉบับล่าสุดนี้ให้ความสำคัญกับประชาชนอย่างไร จึงเป็นเรื่องที่ต้องตั้งคำถามต่อไป
ด้าน นายเอกชัย อิสระทะ ผู้ประสานงานเครือข่ายพิทักษ์สิทธิชุมชนเขาคูหา อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา กล่าวว่าพรบ.แร่ฉบับใหม่ที่เพิ่งผ่าน สนช.นั้นกรณีของเขาคูหาเป็นการทำเหมืองหิน ซึ่งอาจจะได้รับผลกระทบหลายด้านจากเหตุระเบิดหินที่ส่งผลกระทบต่อชุมชน บ้านเรือนแตกร้าว ฝุ่นสกปรกเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เศษหินปลิวกระเด็นเข้ามาในบริเวณบ้าน พื้นที่ทำกินการเกษตร สายน้ำ โดยเหมืองหินที่เขาคูหาจะจัดเป็นเหมืองขนาดเล็ก หากใช้ พรบ.แร่ฉบับใหม่ขอประทานบัตรจะเข้าข่ายเป็นแปลงประเภทที่ 1 ส่วนตัวกังวลว่า การขอทำเหมืองขนาดดังกล่าวในพื้นที่เขาคูหานั้น หากมีการให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาการลงทุนและประทานบัตร /หรือสัมปทานบัตรนั้น เชื่อว่าการเมืองท้องถิ่นจะมีแนวโน้มเห็นด้วยกับการลงทุนทำเหมืองมากกว่าการคิดถึงประชาชนที่จะได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม
นายเอกชัย กล่าวว่า ประมาณวันที่ 15มกราคม 2560 นี้เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่จะมีการเคลื่อนไหวอย่างแน่นอนแต่จะเป็นการเคลื่อนไหวแบบใดต้องรอติดตามต่อไป อย่างไรก็ตาม แม้ว่าร่าง พรบ.แร่ จะผ่าน สนช.แล้ว แต่ประชาชนจะไม่ยุติการต่อสู้เนื่องจากแร่เป็นทรัพยากรของประเทศ และประชาชนมีสิทธิในการบริหาร ไม่ใช่รัฐเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว
ขณะที่นายมานพ สนิท ผู้ประสานงานเครือข่ายวาระเปลี่ยนตะวันออก กล่าวว่า จังหวัดระยอง สระแก้ว จันทบุรี เป็นจังหวัดที่กำลังเสี่ยงต่อการทำลายโดยภาคอุตสาหกรรม ซึ่งบางส่วนกลายเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษแล้ว หากมีการเปิดพื้นที่ทำเหมืองแร่อีกจะเป็นภัยต่อระบบเกษตรกรรมในภาคตะวันออกมากขึ้น
“ผมอยากให้สังคมไทยมองอย่างเชื่อมโยงกันถึงข้อเกี่ยวข้องระหว่างเขตเศรษฐกิจพิเศษ กับเรื่องเหมือง และการถมทะเล เพื่อสร้างท่าเรือ อย่างจังหวัดระยองนั้นเจอการละเมิดสิทธิจากทุนใหญ่มาเยอะแล้วเช่น มาบตาพุด ถามว่าใครละจะแยแส ดังนั้นหากปล่อยให้อุตสาหกรรมใหญ่คืบคลานภาคตะวันออกเรื่อยๆ ระบบความมั่นคงทางอาหารล่มจมแน่ เพราะภาคตะวันออกเป็นแหล่งผลิตผลไม้ เราเป็นอู่ข้าว อู่น้ำ และเลี้ยงคนทั้งประเทศ ภาคตะวันออกจึงควรพัฒนาด้านเกษตรกรรมต่อไปและรัฐควรปล่อยให้ประชาชนจัดการตนเองบ้าง ปล่อยให้บริหารชุมชนทั้งปัจจุบันและวางแผนการบริหารในอนาคตบ้าง และผมเป็นคนหนึ่งที่อยากให้ถอนร่าง พรบ.แร่ออกไปเพราะมันเป็นใบเบิกทางสำหรับการทำลายภาคตะวันออกและอีกหลายพื้นที่ที่ให้สัมปทาน” นายมานพ กล่าว
นายอนันต์ วิลัยฤทธิ์ กลุ่มพิทักษ์สิ่งแวดล้อมเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก กล่าวว่า แม้เนินมะปรางยังไม่มีเหมืองใดๆ แต่คนเนินมะปรางมีบทเรียนจากเหมืองอื่นๆ เช่น กรณีจังหวัดพิจิตร เพชรบูรณ์ คือส่วนบ้านเขาหม้อ จังหวัดพิจิตรนั้น ห่างกันกับเนินมะปรางแค่คนละฝั่งคลอง แต่คนเนินมะปรางก็เคลื่อนไหวคู่ขนานมาเพราะว่าอยากให้รัฐบาลเห็นใจว่า จังหวัดพิจิตรล่มไปเพราะเหมืองมันคือบทเรียนร้ายแรงแล้ว ไม่ควรเปิดพื้นที่ทำลายคนในชุมชนทั้งสองพื้นที่อีก คนเนินมะปรางจึงขอประกาศต่อต้าน พรบ.แร่ และการสัมปทานเหมืองทุกประเภทในเขตชุมชนต่อไป
นางสาวแวววรินทร์ บัวเงิน ตัวแทนชาวบ้านแหง จังหวัดลำปาง กล่าวว่า พรบ.แร่ฉบับนี้เป็นการออกกฎหมายที่ขาดซึ่งความชอบธรรม คล้ายกับติดอาวุธให้กับนายทุนเพื่อให้ทำเหมืองแร่เอย่างถูกกฎหมายได้ ซึ่งจังหวัดลำปางเองได้รับผลกระทบจากเหมืองลิกไนต์มามากพอแล้ว ยังไม่รู้ชะตากรรมว่ากฎหมายใหม่นี้จะสร้างผลกระทบต่อไปอย่างไรในอนาคต
“เมื่อกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมถูกบังคับใช้ กฎหมายฉบับนี้ก็ไม่ถือว่ามีประโยชน์ กับประชาชนเลยแม้แต่น้อย มันเปล่าประโยชน์ที่จะยอมรับแล้วต้องทนอยู่ใต้กฎหมายที่ทำลายคุณภาพชีวิตของตนเอง จึงคิดว่าถึงอย่างไรก็จะสู้ต่อ และไม่ขอยอมรับกฎหมายฉบับนี้” นางสาวแวววรินทร์ กล่าว
นางสาวมะลิวัลย์ จำปานิล ตัวแทนกลุ่มฮักบ้านฮั่นแน้ว จังหวัดเลย กล่าวว่า ส่วนตัวกังวลว่าการออกกฎหมายแร่ฉบับใหม่จะส่งผลให้กรณีการขอประทานบัตรทำเหมืองถ่านหินบิทูมัส ที่อยู่ระหว่างการขอประทานบัตรสำรวจแร่ อำเภอปากชม จังหวัดเลย จะเกิดขึ้นเร็วขึ้นและประชาชนจะได้รับผลกระทบจากเหมืองไม่ต่างจากพื้นที่ชุมชนรอบเหมืองทองคำ วังสะพุง ดังนั้นคิดว่าควรจะต้องหาวิธีการระงับ พรบ.แร่ไว้จะดีกว่า
ทั้งนี้ภายหลังเวทีเสวนาแล้วเสร็จ เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ ได้ร่วมกันอ่านแถลงการณ์ “ไม่เอากฎหมายแร่” โดยมีเนื้อหาโดยสรุปว่า ตาม พรบ.แร่ที่ผ่าน สนช.นั้น มีการบัญญัติ ให้มีการแบ่งทำการเมืองแร่เป็น3 ประเภทโดยอ้างว่าเพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการแร่และการกระจายอำนาจในการจัดการแร่ให้ท้องถิ่น นั้นเป็นการที่เอื้อประโยชน์ให้เอกชนในการขอประทานบัตร/ สัมปทาน เหมืองแร่ที่ง่าย สะดวก เป็นประโยชน์สูงสุดแก่นักลงทุนที่ สำคัญพยายามกำจัดขั้นตอนการทำ EIA
ในแถลงการณ์ระบุว่า การขยายอำนาจสัมปทานเหมืองแร่ กลายเป็นเรื่องที่หน่วยงานรัฐบางหน่วยงานชงเอง กินเองโดยไม่ผิดกฎหมาย โดยสามารถนำพื้นที่แหล่งแร่ใดก็ได้มายื่นคำขอประทานบัตรและจัดทำรายงานEIA ด้วยตนเองได้เมื่อได้รับประทานบัตร ,อีไอเอผ่านความเห็นชอบแล้ว ก็นำมาพื้นซึ่งการนำพื้นที่แหล่งแร่นั้นมาเปิดให้เอกชนประมูลเพื่อทำเมืองแร่แทนตนเองได้
“ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงเห็นว่ากฎหมายหลายฉบับนี้เป็นอาวุธอันทรงพลังที่จะยึดครองพื้นดินทำกินของเราแต่ภาคประชาชนจะไม่เกรงกลัวต่ออาวุธอันชั่วช้าสามานย์และจะไม่ยอมจำนน แสดงความหดหู่สิ้นหวังใดใดต่ออำนาจรัฐที่ขมเหงชีวิต ในทางตรงกันข้ามด้วยพลังประชาชนที่ก่อรูปขึ้นมาด้วยคนเล็กคนน้อยจะเข้มแข็งขึ้นเรื่อยเรื่อยๆ และขอประกาศว่าไม่ยอมรับกฎหมายแรฉบับนี้และขบวนการประชาชนของเราจะต้องทำงานอย่างต่อเนื่องด้วยความหวังอันเต็มเปี่ยมเพื่อให้มีการถอดถอนกฎหมายฉบับนี้ออกไปจากสังคมไทยให้”ในแถลงการณ์ระบุ
//////////////////////////////