Search

หลายฝ่ายร่วมแสดงมุทิตาจิต 84 ปี ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ แบบอย่างปูชนียบุคคล-ทุ่มเทชีวิตเพื่อคนจนและผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในสังคม

received_1322987281077887
เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2560 ที่มูลนิธิชุมชนไท เขตบางกระปิ กทม.ได้มีงานแสดงมุทิตาจิตเนื่องในโอกาสครบรอบ 84 ปี ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ โดยมีลูกศิษย์และบุคคลต่าง ๆ เข้าร่วม ทั้งนี้ได้มีเวทีเสวนาถึงแนวคิดและการทำงานของม.ร.ว.อคิน โดยนางปรีดา คงแป้น ผู้จัดการมูลนิธิชุมชนไท กล่าวว่า นับตั้งแต่ร่วมงานกับอ.อคิน งานที่โดดเด่นที่สุด คือ งานด้านที่ดินและชาติพันธุ์ เช่น กรณีการทำงานกับกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล ในพื้นที่ 5 จังหวัดอันดามันนั้น อ.อคิน เคยสอนไว้ว่า การจัดกระบวนการให้ชาวเลนั้น ต้องเข้าใจก่อนว่า ชาวเลเป็นกลุ่มรักอิสระ และข้อที่ต้องตระหนักมาก ๆ คือ การเคารพชาวเลในความเป็นเขา แต่ต้องช่วยเขาให้มีการรวมกลุ่มเพื่อเป็นปึกแผ่น จำได้ว่าครั้งหนึ่งช่วงที่ลงพื้นที่ทำงานวิจัยเรื่องที่ดินกับชาวเลราไวย์ จังหวัดภูเก็ต อ.อคินได้ลงไปดูชาวเลด้วย ก่อนจะทำวิจัยที่ดินอย่างเป็นทางการ อ.อคินได้ตั้งข้อสังเกตในแบบของนักวิจัย แล้วพบว่า ชาวเลถูกทำให้สูญเสียความมั่นใจในตัวเอง ดังนั้นในการจัดการชาวเล เราต้องทำเขามั่นใจ ให้รู้ว่าเขามีเพื่อน เขามีกลุ่ม เราเลยประเมินชาวเลได้ และก่อเกิดเป็นเครือข่ายชาวเลจนปัจจุบัน ทำให้การเก็บข้อมูลง่ายขึ้นและมีข้อมูลชัดขึ้น

“อย่างตัวอย่างการต่อสู้ของชาวเลนั้น กรณีชาวเลราไวย์ที่ถูกถมบ่อน้ำที่ใช้ร่วมกัน ขณะนั้นชาวเลรวมตัวกันไปประชุมในอำเภอและจังหวัด แล้วชาวเลก็เรียกร้องให้มีการเปิดใช้บ่อน้ำดังกล่าว และเรียกร้องสิทธิอื่น ๆ ตามมา โดยเฉพาะเรื่องการทำการวิจัย เรื่องที่ดิน กรณีราไวย์ เราได้เรียนรู้และวิจัย เอาข้อมูลมาสู้ แล้วเราเอางานนี้มาใช้ประโยชน์ ตั้งแต่เริ่มมีการขึ้นศาลต่อสู้ทางคดีข้อพิพาทที่ดินต่อเนื่อง เราอ้างอิงงานวิจัยในการทำงานนั้นมาโดยตลอด ทำให้เราเปลี่ยนทัศนคติใหม่ต่อการทำงานเพื่อสังคม โดยเน้นว่า แค่เรียกร้องอย่างเดียวไม่ได้ ต้องทำงานวิชาการคู่ไปด้วย ดิฉันมีบทความในใจที่อ่านแล้วชอบและคิดว่าเป็นเรื่องจริง คือ กรณีงานวิจัยและงานเขียนของอาจารย์ชื่อว่า ความยุติธรรมตามความเป็นจริง กรณีทับยาง ช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการทำงานด้วย” นางปรีดา กล่าว
received_1322987464411202
ผู้จัดการชุมชนไท กล่าวด้วยว่า จากการทำงานร่วมกับอ.อคิน เราได้เห็นชาวบ้านได้รับความอบอุ่น อีกทั้งมีความสบายใจมากขึ้น ซึ่งกรณีที่ดินและความเป็นธรรมนี้ อ.อคินก็ได้ต่อสู้แม้กระทั่งในที่ดินที่ปู่ของอ.อคิน เคยได้ให้สัมปทานเหมืองแร่ในชุมชน อ.อคิน ก็ไม่ละทิ้งตรงนั้น แต่กลับทำงานวิจัยเพื่อไปทวงเอาที่ดินคืน ให้ชาวบ้าน ช่วยให้ชุมชนได้มีโอกาสจัดการตนเอง และมีตัวตนขึ้นมาอีกครั้ง เช่นกรณีบะขาม จังหวัดขอนแก่น ก็เอางานวิจัยไปต่อสู้เพื่อเอากรรมสิทธิคืนมาเช่นกัน

ขณะที่นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยสังคมและสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ตนไม่ได้เป็นลูกศิษย์โดยตรง แต่สมัยที่ยังทำงานที่ชนบทนั้น ช่วงวัยของตนเป็นวัยของงานพัฒนาที่กำลังเฟื่องฟู และได้รู้จักกับอ.อคิน ช่วงที่ลงพื้นที่ทำงานด้านสาธารณสุขที่จังหวัดนครราชสีมา ร่วมกับทีมนายแพทย์ที่ร่วมทำงานพัฒนาสังคม อย่างเช่น นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ และต่อมาก็พัฒนางานร่วมกันเพิ่มเติมผ่านการทำงานใน สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแก่น(RDI) เป็นโอกาสที่ดีในการแลกเปลี่ยนและทำความรู้จักอ.อคิน เพิ่มเติม และได้ติดตามผลงานของอ.อคินอย่างต่อเนื่อง

“ผมอาศัยความรู้จากอ.อคิน หลายอย่าง เช่น แรกๆเวลาไปร่วมเวทีในชุมชน เราไปเจอว่าชาวบ้านส่วนใหญมีความเชื่อเรื่องการแพทย์แปลก ๆ และไม่ตรงกับความรู้ที่ผมมี หมายถึงไม่ตรงกับหมอสมัยใหม่ แต่เวลานั้นอ.อคินได้ร่วมเสวนาด้วย แล้วสอนให้ผมสังเกตการณ์เกี่ยวกับภูมิปัญญาชาวบ้านบนการแพทย์ที่ผมมองว่า ไม่ใช่การแพทย์ ตัวอย่างที่จำได้ดี คือ ไปเจอชาวบ้านมีการรักษาอาการไก่ชนขนฟู ขนพองที่เกิดจากการจิกกัน แล้วชาวบ้านเห็นอาการของไก่ ชาวบ้านก็ไปเอาแคลเซียมในท้องถิ่น พวกปลาตัวเล็กตัวน้อย หรือ เปลือกไข่ มาป้อน ไก่ ตอนนั้นอาจารย์บอกผมว่า ที่ชาวบ้านทำอย่างนั้นเพราะรู้ว่าไก่ที่ต่อสู้มันขาดแคลเซียม ชาวบ้านเลยพยายามเติมเต็ม ช่วยเหลือไก่ตามความรู้ดั้งเดิม แล้วมผมก็ทึ่งมาก เพิ่งรู้ว่าชาวบ้านใช้ภูมิปัญญา รักษา ต่อมาก็รู้เรื่องของการอยู่ไฟ เพื่อรักษามดลูก คนที่คลอดใหม่ ช่วยป้องกันอาการตกเลือด คนหลังคลอดจะอาบน้ำร้อน นอนผิงไฟ ผมเรียนแพทย์มาตั้งนานเพิ่งเข้าใจว่าพิธีกรรมชาวบ้านมันก็เป็นการแพทย์ และต่อมาก็เข้าใจว่า ระบบสาธารณสุขไทย ต้องมีแพทย์พื้นบ้านที่ด้วย ผมว่าเรื่องนี้น่าสนใจ ผมจึงมองว่ามีความสำคัญ เลยตัดสินใจไปเรียนมานุษยวิทยา” นพ.โกมาตร กล่าว

นพ.โกมาตร กล่าวด้วยว่า เสน่ห์ของอ.อคิน คือ ไม่ว่าจะอายุมากแค่ไหน ถ้าเชิญท่านไปพูดเรื่องชาวบ้าน อาจารย์จะมีชีวิตชีวา และเล่าเรื่องได้ดี เล่าผ่านมุมมองมานุษยวิทยา อาจารย์เห็นคุณค่าของชาวบ้าน ต่างจากนักมานุษวิทยาสมัยใหม่ที่เน้นแค่ทฤษฎี และพูดอ้างอิงวิชาการ แต่กลับไม่รู้จักชาวบ้านในบ้านตัวเองเลย ยิ่งพวกจบใหม่ จะอ้างอะไรไม่รู้จากตะวันตก แต่เวลาอ.อคิน พูด จะเป็นเรื่องราวของชาวบ้านธรรมดา และท่านให้คุณค่าของเรื่องราวเหล่านั้น ดูท่านยังมีความสุขที่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของชาวบ้านเสมอ จึงรู้สึกว่า ความรู้ที่อ.อคิน สร้างขึ้น มันเป็นพลวัตรที่เกิดขึ้นจริง ทำได้จริงในสังคมไทย และอาจารย์พูดกับชาวบ้านไม่ได้โรแมนติกหรือโลกสวยเลย แต่อาจารย์ให้ความเรียบง่ายเป็นการผสมความรู้ที่ลงตัว สามารถเป็นแบบอย่างของครูด้านมานุษยวิทยา และถือเป็นแบบอย่างในการพัฒนา
screenshot_20170122-162153_1
รศ.ดร.ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์ คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยทักษิณ กล่าวว่า อ.อคินสอนให้ตนทำงานวิจัยเก่งขึ้น เป็นครูที่สอนให้รู้จักการทำงานด้านการพัฒนาที่ประยุกต์ใช้กับองค์ความรู้ปัจจุบัน ส่วนตัวได้ทำงานวิจัยให้อาจารย์ 2-3 เรื่อง ทุก ๆ 6 เดือนมาพบกันครั้งหนึ่ง มาเล่าสู่กันฟัง

“บางครั้งอาจารย์บอกว่าดีมากครับ ดีมาก แต่ลงสนามน้อยไปหน่อย และอาจารย์ก็ย้ำว่าผมลงสนามน้อย ให้ไปทำซ้ำ ผมก็ลอกวิธีการเล่าเรื่อง ผมมาเล่ากะว่าอาจารย์จะปิ๊ง จะชอบ แต่อาจารย์ถามกลับว่าแล้วใครได้ประโยชน์ แต่ผมตอบไม่ได้ ผมต้องกลับไปทำการบ้านใหม่ ไปสรุปความใหม่ ซึ่งพอทำมาเสร็จปุ๊บอาจารย์บอกผมว่า เรื่องแบบนี้ คือ เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่าละเลยสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะมันคือหัวใจนำไปสู่การหาคำตอบในงานวิจัย ผมทำงานกับอาจารย์มา 18 ปี ผมมองว่าอาจารย์เป็นนักเล่าเรื่อง และมีแผนแยบยลในการเล่าเพื่อขับเคลื่อนให้เรื่องเล่าถูกนำไปสู่การปฏิบัติ และมีวิธีการสังเกตด้วย เราเชื่อว่าเรื่องราวที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้นั้นยาก แต่อาจารย์ทำได้ หลายครั้งที่เรื่องราวของคนชายขอบถูกซ่อนตัวไว้เสมอ กว่าจะทำให้โลดแล่นทางสังคมนั้นไม่ใช้เรื่องง่าย การเอาเรื่องเล่าของอาจารย์ไปปฎิบัติการทางสังคม ทำให้มีพลัง และสอดแทรกเข้าไปในกลไกการแก้ปัญหาด้วย” รศ.ดร.ณฐพงศ์ กล่าว

ขณะที่ ดร.สมพันธ์ เตชะอธิก อาจารย์ประจำคณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า อาจารย์บอกว่า จาการทำงานที่ RDI กับอ.อคิน ท่านสอนให้ผมรู้จักการให้โอกาสคนจน เช่น ทำคนจนได้มีงานทำ อ.อคินเป็นคนให้โอกาสคนเสมอ

“ผมได้ไปชนบทกับอาจารย์บ่อย ๆ เราเป็นเอ็นจีโอ เราเกลียดงานวิจัย เราเกลียดงานวิชาการ อาจารย์ถามคำถามตั้ง 50 คำถาม ตอนผมไปลงเรื่องสารธารณะสุขมูลฐาน อาจารย์ตั้งคำถามกับผมเสมอ ตอนนั้นก็อึดอัด แต่ผ่านมาได้ ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ดี และมันจำเป็น ผมว่าอาจารย์เป็นคนธรรมดา และทำงานกับคนยากจนได้ ผมได้รู้วิธีการทำงานกับคนจนเพราะมี อ.อคิน บริหารแบบไม่บริหารและผลิตคนให้ RDI ที่ได้ทำงานพัฒนาก่อน อาจารย์ให้โอกาสผมทำงานและช่วยดูงานวิจัยที่เรียนจบป.โท ป.เอก อาจารย์ก็เคยถามว่า งานวิจัยเรื่องที่ดินทำอะไรมา ทำไมผมทำวิจัยแล้วไม่พบว่าชาวบ้านมีความเป็นธรรมในที่ดิน ผมต้องทำใหม่ ทำให้เห็นถึงปัญหาคนจนจริง ๆ อย่างหนึ่งที่ผมได้ คือ การทำงานวิชาการ งานวิจัยที่เน้นเรื่องการวิจัยที่ทำกำไรระยะยาว ผมเลยต้องเดินหน้าทำวิจัย ทุกวันนี้ผมก็ทำงานวิจัยปีละ 5 เรื่อง ใน 2 ปีมานี้ผมก็ทำเรื่องกองทุนคนยากจน เพื่อหาวิธีการทำงานให้คนจน ผมเชื่อว่าการทำงานเพื่อคนจนให้สำเร็จต้องช่วยให้เขาพึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืน” ที่ดร.สมพันธ์ กล่าว

ดร.สมพันธ์ กล่าวต่อว่า อ.อคิน ให้คุณค่ากับคนทำงานที่จริงจัง แล้วให้ไปทำประโยชน์ต่อ ส่วนเรื่องการบริหาร คือ เป็นผู้บริหารที่ซื่อสัตย์มาก ๆ ความหวังของคนอยู่ RDI และเป็นตัวอย่างของผู้บริหารองค์กร คำว่ากระบวนการพัฒนาที่สร้างการเรียนรู้กับชาวบ้าน ซึ่งคนที่มีเงินไม่เข้าใจในบางครั้ง ตอนนี้ได้บทเรียนเรื่องธนาคารที่ดินนั้นก็ยังทำยากอยู่ แต่อ.อคิณ ให้ความหมายต่อตนว่า สังคมต้องการมัน เพราะกำไรจากการลงทุนสมัยนี้ต้องเอาเรื่องความมั่นคงเป็นหลัก ไม่ใช่ได้กำไรแล้วจบ

ดร.ชยันต์ วรรธนะภูติ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาชาติพันธุ์และการพัฒนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า คุณูปการของอ.อคิน ในแง่วิชาการ คือ อาจารย์เป็นที่ปรึกษาในช่วงที่ตนเรียน ช่วงนั้นได้พบอาจารย์เพราะมีงานวิชาการด้านมานุษยวิทยา รวมถึงด้านสังคม และศึกษาตำราต่างประเทศพบว่าวงการวิชาการต่างชาติยอมรับผลงานของ อ.อคิน และเคารพการทำงาน รวมทั้งอ้างอิงความรู้และบทความ หรือกล่าวขอบคุณในฐานะที่ปรึกษา หลายงานมาก ๆ ขณะที่เมืองไทยเองก็มีงานวิชาการหลายแห่งที่อ้างผลงานของอ.อคิน ท่านศึกษาความทุกข์ ความยากจนของชาวบ้านแล้วเขียนออกมาเป็นเรื่องเล่าอ่านง่าย เข้าใจง่าย อาจารย์เน้นเรื่องการตรวจสอบข้อมูล ความรอบคอบ และผลที่อาจจะเกิดขึ้นกับคนที่เราไปร่วมศึกษาด้วย

ขณะที่ ม.ร.ว.อคิน ได้กล่าวกับผู้ร่วมงานว่า ทั้งชีวิตตั้งแต่ตอนเกิดเคยเห็นกรุงเทพฯ น่าอยู่มาก น้ำในคลองใสมาก มีปลาว่ายอยู่เต็มคลอง สองข้างถนนมีต้นไม้ตลอดทาง ร่มเย็นมาก ๆ ช่วงนั้นเห็นคนหาบของมาขายมากมาย มันร่มรื่นทั้งธรรมชาติและคนก็ดูสดชื่น ต่อมากรุงเทพฯ เปลี่ยนแปลงไป มีการลอกคลองและระบบเปลี่ยนไป การพัฒนาบางครั้งก็ทำร้ายชีวิตที่เคยเรียบง่ายเหล่านั้น อย่างไรก็ตามสถานที่ เวลาเปลี่ยนไป แม้จะเปลี่ยนมากเพียงใด พวกเรายังอยู่ ขอให้ทำในสิ่งที่ตั้งใจจะทำแล้วอย่าให้ใครเดือดร้อน

“ผมขอบคุณมากที่พวกเรายังอยู่ด้วยกัน ยังตั้งใจทำสิ่งดี ๆ ให้กัน ผมอยากให้สังคมมันดีขึ้น เราจะอยู่กันได้ ต้องทำงานให้มันช่วยเหลือกันได้ เวลาเราลำบากอะไรเราก็ช่วยกันนะ เราเกิดมาทั้งชีวิตอย่าทำให้ใครเดือดร้อน อย่างไรก็ตาม ถ้าเราคิดดี มองโลกแง่ดี ทำสิ่งดีต่อผู้อื่น เราหวังดีกับคนอื่น เราไม่รังแกคนอื่น เราก็จะได้ดี เราจะรู้สึกสงบ ความสงบก็ทำให้มีความสุขแล้ว” ม.ร.ว. อคิน กล่าว

On Key

Related Posts

ผู้นำแรงงานแฉอีกพิรุธงบ สปส.โครงการจัดอบรมแรงงานกว่า 30 ล้าน เผยกลายเป็นงบล่ำซำให้บางสภาแรงงานที่เข้าถึง ใช้วิธีเซ็นชื่อลงทะเบียนล่วงหน้า-เก็บค่าหัวคิว ชี้เป้าสอบงบทำปฏิทิน 54 ล้าน-ใครผูกขาดผลิต

เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 นายชาลี ลอยสูง ที่ปรึกษRead More →

รมว.กระทรวงน้ำของจีนเยือนไทย-ลงพื้นที่แม่น้ำโขง สทนช.ของบทำโครงการแก้ปัญหาอุทกภัยน้ำสาย-น้ำรวก นักอนุรักษ์แม่น้ำจี้รัฐบอกความจริง-ผลกระทบของคนท้ายน้ำจากเขื่อนจีน

เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2568 เพจของสำนักงานทรัพยากรนRead More →

ผู้เชี่ยวชาญเตือนฤดูฝนหน้าลุ่มน้ำกก-ลุ่มน้ำสายเสี่ยงสึนามิโคลนอีก เหตุทำเหมืองต้นน้ำ แนะเร่งทำจุดตรวจวัดชายแดน เผยยังไม่มีหน่วยราชการตรวจสอบระบบนิเวศ ชาวบ้านท่าตอนยังกังวลน้ำกกขุ่น

เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2568 ดร.ธนพล พิมาน หัวหน้าฝ่Read More →