
นางสาวหทัยรัตน์ ตันติพิศาลพงศ์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการเวชศาสตร์ใต้น้ำ โรงพยาบาล (รพ.) วชิระภูเก็ต กล่าวว่า แม้ปัจจุบัน ปัญหาโรคน้ำหนีบจะไม่มากเหมือนครั้งก่อนแต่ก็ยังถือว่าน่าเป็นห่วง โดยสถิติผู้ป่วยโรคน้ำหนีบที่มาพบแพทย์ในรพ.วชิระภูเก็ต ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2555-2556 มีทั้งหมด 26 ราย โดยเป็นผู้ป่วยที่มาจากหลายที่ ทั้ง จ.สตูล พังงา กระบี่ และภูเก็ต ขณะที่ปี 2555 มีผู้เสียชีวิตแล้ว 1 รายที่เกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล โดยเสียชีวิตหลังจากขึ้นน้ำทะเลได้เพียง 10 นาที และคระแพทย์ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือได้ทัน
นางสาวหทัยรัตน์ กล่าวถึงอาการของโรคน้ำหนีบว่า อาการของโรคนี้มี 2 แบบ คือแบบทั่วไปและแบบรุนแรง แบบทั่วไปมีอาการปวดหลัง ตัวชา เดินไม่ได้ บางรายอาเจียนและหน้ามืด ส่วนอาการรุนแรงคือ ปัสสาวะไม่ออก ปวดกระดูกรุนแรงทั้งตัว และอาจพิการท่อนล่าง โดยจากการซักประวัติของผู้ป่วย คือ มักจะดำน้ำลึกระหว่าง 30-50 เมตรด้วยตังเปล่า และมีการดำน้ำต่อเนื่อง รวมทั้งขึ้นจากน้ำเร็วกว่าปกติ ซึ่งการดำลักษณะนี้จะมีความลึกต่างจากการดำน้ำเพื่อสันทนาการแค่ 10-20 เมตร และมีอุปกรณ์ช่วยเหลือ อย่างไรก็ตามความเสี่ยงของการเกิดโรคน้ำหนีบ คือ การดำลึกกว่า 18 เมตร
“ในการรักษาอาการของผู้ป่วยนั้น คือต้องใช้ออกซิเจนประมาณ 2-3 ครั้ง ในกรณีผู้ป่วยมีอาการทั่วไป แต่ในกรณีที่รุนแรง ก็อาจให้มากถึง 5 ครั้ง โดยผู้ป่วยต้องพักฟื้นและงดกิจกรรมดำน้ำนานถึง 1 เดือน ซึ่งชาวประมงที่ประสบปัญหาจะปฏิบัติไม่ค่อยได้ เพราะด้วยปัญหารายได้ที่ไม่เพียงพอ ดังนั้นทีมแพทย์ในรพ.จึงต้องประสานงานกับรพ.ส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลและอาสาสมัครหมู่บ้าน เพื่อให้ความรู้เพื่อป้องกันตัวจากโรคน้ำหนีบ โดยหลักการง่าย ๆ คือ เน้นการพักครึ่งน้ำและขึ้นจากน้ำช้า ๆ เพื่อดันฟองอากาศที่เป็นก๊าซไนโตรเจนออก เช่น ดำน้ำลึก 50 เมตร ต้องพักในระหว่าง 25 เมตร และพักอีกครั้ง 12.5 เมตร จึงค่อย ๆ ขึ้นมาจากน้ำ” นางสาวหทัยรัตน์ กล่าว
นายหมัด ประมงกิจ ผู้นำชาวเลชุมชนแหลมตง เกาะพีพี จ.กระบี่ กล่าวว่า เหตุผลหนึ่งที่ชาวเลต้องออกหาปลาในน้ำลึก เพราะไม่กล้าเสี่ยงตั้งไซ รอก ในบริเวณที่มีนักท่องเที่ยว อันเนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติแอบตัดหรือทำลายเครื่องมือหาปลา ทำให้ชาวเลต้องเสียค่าใช่จ่ายในการซ่อมบำรุง หรือซื้อเครื่องมือใหม่ ซึ่งหลายคนฐานะยากจน ไม่สามารถซื้อได้บ่อย ประกอบกับการประกาศพื้นที่อุทยานแห่งชาติในบริเวณท่องเที่ยวด้วยแล้ว ชาวประมงจึงต้องระวังตัวมากขึ้น
นายสนั่น หาดวารี ชาวเลหมู่บ้านแหลมตง เกาะพีพี จ.ภูเก็ต กล่าวว่า ตนเลิกอาชีพออกเรือหาปลา มาตั้งแต่ปี 2543 แล้วหันมาขับเรือรับจ้างนักท่องเที่ยว เพราะไม่กล้าเสี่ยงชีวิตออกดำน้ำหาปลาในน้ำลึกได้อีก เพราะเคยป่วยเป็นโรคน้ำหนีบมาแล้ว รู้ดีว่าทรมานมากและไม่อยากกลับไปทำอาชีพหาปลาอีก ขณะที่ชาวเลในชุมชนเดียวกัน ก็ยกเลิกอาชีพดั้งเดิมเช่นเดียวกัน
นายสนั่นกล่าวเพิ่มเติมว่า ประมาณ 10 กว่าปีก่อน ชาวเลเคยหากินริมฝั่งได้อย่างสะดวกสบาย แต่พอความเจริญเข้ามาในพื้นที่ที่เคยทำกินกลายเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ชาวเลต้องออกเรือไกลจากเดิมเกือบ 3 กิโลเมตร และต้องดำน้ำลึกกว่า 40-50 เมตร ซึ่งไม่ได้แปลว่าจะหาปลาได้ดีกว่าเดิม เพราะน้ำลึกออกซิเจนน้อย ปลามีไม่มาก ค่าน้ำมันแพง จึงจำเป็นต้องวางมือจากอาชีพดังกล่าว
นางปรีดา คงแป้น ผู้จัดการมูลนิธิชุมชนไท กล่าวว่า ปัญหาป่วยน้ำหนีบ เป็นตัวอย่างผลกระทบอีกด้านที่มาจากนโยบายการท่องเที่ยวเป็นตัวบีบบังคับ คือ หลังการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติฯ ที่มีทั้งรีสอร์ต โรงแรม และที่พักมากมาย พยายามจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้พิจารณาได้จากข้อมูลของกรมทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง ระบุว่า ในอดีตนั้นพื้นที่ทำกินตามเกาะแก่งของชาวเลมีทั้งหมด 25 จุด ได้แก่ หาดราไวย์ และเกาะราชา รวมทั้งหน้าเกาะเฮ อ.เมือง จ.ภูเก็ต
โพสต์ทูเดย์ 21 พ.ย. 2555