นายวุฒิชัย กล่าวอีกว่า ในคณะทำงานที่กระทรวงเกษตรตั้งขึ้นมีตัวแทนทุกฝ่าย รวมถึงตัวแทนจากกรมชลประทานทั้งส่วนกลางและระดับพื้นที่ ได้มีการศึกษาที่ลงไปเก็บข้อมูลในพื้นที่หลายครั้ง ชี้ชัดว่าไม่คุ้มค่าและส่งผลกระทบหลายด้าน และให้ชะลอโครงการออกไปก่อน แต่กรมชลประทานกลับไม่สนใจข้อตกลงนี้ ได้พยายามผลักดันทุกรูปแบบ โดยไม่กี่วันที่ผ่านมาทราบมาว่ามีคำสั่งของจังหวัดสั่งการให้คลื่นวิทยุท้องถิ่นประชาสัมพันธ์ว่า ชาวบ้านในพื้นที่เห็นด้วยกับการสร้างเขื่อนวังหีบ และมีชาวบ้านเซ็ื่อยินยอมแล้วมากกว่าครึ่ง แต่ในพื้นที่ชาวบ้านกลับไม่รู้เรื่อง และขอยืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับโครงการมาโดยตลอด ดังนั้นเหตุการณ์แบบนี้อาจนำไปสู่ความขัดแย้งได้
ทั้งนี้เหนังสือคัดค้านของชาวบ้าน ระบุว่า
- วัตถุประสงค์ของโครงการไม่สอดคล้องกับการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ เช่น กรณีเขื่อนวังหีบ มีการเสนอให้จัดหาน้ำ ตั้งแต่ปี 2542 เพื่อนำน้ำมาใช้ในการทำนาแต่ปัจจุบันไม่มีนาแล้ว กรณีเขื่อนคลองสังข์ ปี 2519 มีชาวบ้านถวายฎีกาขอพระราชทานอยากได้น้ำทำนาและเลี้ยงสัตว์ ส่วนเขื่อนเหมืองตะกั่ว มีประธานสภาจังหวัดนำเสนอปี 2533 จะเห็นว่าแต่ละโครงการได้ทำการศึกษาเมื่อนานมาแล้ว และความต้องการของพื้นที่ในปัจจุบันเปลี่ยนหมดแล้ว
- พื้นที่วังหีบและเหมืองตะกั่ว บริเวณที่จะดำเนินการโครงการเป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชนและมีน้ำตกสวยงาม ซึ่งถือว่าชุมชนมีแหล่งน้ำตามธรรมชาติที่สมบูรณ์อยู่แล้ว ส่วนที่คลองสังข์มีพื้นที่โพรงน้ำใต้ดิน ยังไม่มีการสำรวจให้ชัดเจนว่าเมื่อมีโครงการมีผลต่อโพรงน้ำใต้ดินอย่างไร
- ในขั้นตอนการมีส่วนร่วมในช่วงที่มีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม กลุ่มผู้ได้รับกระทบไม่มีโอกาสเข้าร่วมการรับฟังความคิดเห็นและไม่ได้แสดงความคิดเห็นเท่าที่ควรจะเป็น แต่ไปเอากลุ่มนอกพื้นที่หรือกลุ่มอื่นๆ มาแทน
- กระทบต่อชุมชนเป็นที่ทราบว่าชุมชน ไม่อยากจะย้ายไปไหนทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม เพราะไม่มีพื้นที่ทำกินอื่นที่จะอุดมสมบูรณ์เหมือนที่อยู่ปัจจุบัน
เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาดังกล่าวและให้เกิดการดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำอย่างเหมาะสมยั่งยืน และคืนความสุขให้แก่ประชาชนอย่างแท้จริง ชุมชนที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบทั้ง 3 โครงการอันประกอบไปด้วย ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากการสร้างอ่างเก็บน้ำวังหีบ คลองสังข์ เหมืองตะกั่ว มีข้อเรียกร้อง ดังนี้
1.ให้ยกเลิกโครงการสร้างอ่างเก็บน้ำ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ทั้ง 3 โครงการ ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น
2. ให้คณะทำงานบริหารจัดการน้ำแบบมีส่วนร่วมในพื้นที่อำเภอทุ่งสงและลุ่มน้ำวังหีบ และคณะศึกษาข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ ภายใต้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร ซึ่งเป็นคณะทำงานที่มีตัวแทนของชาวบ้าน ผู้มีส่วนได้และผู้ได้รับผลกระทบในพื้นร่วมอยู่ด้วย กลับมาดำเนินงานต่อให้แล้วเสร็จ เนื่องจากที่ผ่านมาชาวบ้านและคณะทำงาน ได้ร่วมกันศึกษาข้อเท็จจริงในพื้นที่และทางวิชาการรวมไปถึงการศึกษาถึงแนวทางเลือกอื่นที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการของชาวบ้าน