
แม้ใจหนึ่งอยากจะกลับไปทำงานบนฝั่งบ้าง แต่ด้วยความรักความผูกพันที่ยังแนบแน่นอยู่ในถิ่นกำเนิด ทำให้ วิลาสิณี กล้าทะเล หรือครูแคง ยังทำหน้าที่ครูสอนหนังสือให้กับเด็กๆ มอแกนในศูนย์การเรียนชุมชนชาวมอแกนแห่งหมูเกาะสุรินทร์ จังหวัดพังงา
ยิ่งในช่วงกว่า 2 เดือนที่ผ่านมา หลังจากที่ชุมชนมอแกนบนเกาะสุรินทร์ถูกไฟไหม้แทบยกหมู่บ้าน ครูแคงแทบไม่ต้องทำอื่น นอกจากผู้แปล-ผู้ประสาน ระหว่างหน่วยงานราชการและภาคส่วนต่างๆ ที่แห่กันเข้ามาลงพื้นที่และบริจาคข้าวของ เพราะเธอเป็นหนึ่งเดียวในหมู่ชาวมอแกนที่พูดไทย “แข็งแรง” ที่สุด

ครูแคงอายุ 30 ปี เป็นชาวมอแกนหมู่เกาะสุรินทร์เพียงคนเดียวที่เรียนจบปริญญาตรี กว่า 7 ปีแล้วที่เธอเลือกที่จะให้ความรู้กับเด็กๆ ที่เป็นเครือญาติในชุมชนมอแกนมากกว่าจะไปรับเงินเดือนสูงๆ ในบริษัทนำเที่ยวและมีความสะดวกสบายมากกว่าทุกวันนี้
“ที่สามารถเรียนสูงจนจบปริญญาตรีได้ เพราะพ่อแม่สอนมาตั้งแต่เด็กๆ ให้ตั้งใจเรียน เราถูกสอนในเรื่องการทำดี โดยเฉพาะการช่วยเหลือพี่น้องของเรา รุ่นพ่อแม่ก็ทำงานจิตอาสาช่วยเหลือพี่น้องมาตลอด พอพวกท่านทำไม่ค่อยไหว รุ่นเราก็ทำต่อไป” ครูแคงเล่าถึงสาเหตุที่ยังปักหลักอยู่บนเกาะ ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทาง 4-5 ชั่วโมงจากฝั่ง ยิ่งในช่วงฤดูมรสุม หมู่เกาะสุรินทร์แทบถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ขณะที่ครอบครัวของเธอส่วนใหญ่ย้ายไปอยู่ที่เกาะพระทองนานแล้ว

“ช่วงหน้าลม นานๆ ครั้งถึงจะได้ขึ้นฝั่ง อาศัยว่าขึ้นไปทีก็อยู่หลายวันหน่อย” เธอไม่รู้สึกว่าสภาพอากาศและระยะทางเป็นอุปสรรค อาจเป็นเพราะคุ้นเคยกับการเดินทางฝ่าคลื่นลมมาตั้งแต่เกิด
ครูแคงเรียนจบจากคณะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยราชภัฎสุราษฎร์ธานี สมัยเด็กๆ เธอเคยอาศัยอยู่ในเรือกาบางกับครอบครัว และล่องไปตามเกาะแก่งต่างๆ ในอันดามัน โดยเฉพาะตามอ่าวต่างๆ ในหมู่เกาะสุรินทร์ ซึ่งเป็นวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวเล
“ชีวิตแบบนั้นสนุกมาก มันเหมือนในฝัน เมื่อก่อนเราอยู่กันทุกอ่าว ล่องเรือไป แวะหาของกินกันไปเรื่อยๆ พอค่ำก็จอดเรือนอนตามบ้านญาติ” ดวงตาของเธอแจ่มจรัสเมื่อเล่าถึงอดีตในวันเด็ก “ถามว่าอยากให้บรรยากาศแบบนั้นกลับมาอีกมั้ย แน่นอนว่ามอแกนทุกคนอยากมีชีวิตเช่นนั้น แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ ทุกวันนี้ขอแค่ให้พี่น้องได้มีที่อยู่ที่กินก็ยังยาก”

หลังจากเริ่มต้นเรียนหนังสือ ครูแคงได้ย้ายไปอยู่บนฝั่งแถวเกาะพระทอง ขณะที่บรรยากาศในหมู่เกาะสุรินทร์ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก จนกระทั่งเมื่อเธออยู่ ม.3 ได้เกิดเหตุการณ์สึนามิถล่มอันดามัน ซึ่งชาวมอแกนทั้งหมดที่กระจัดกระจายอาศัยอยู่ตามอ่าวต่างๆถูกอุทยานฯ ตีกรอบให้มาอยู่รวมกันในหมู่บ้านมอแกนอ่าวบอนในปัจจุบัน ถือว่าเป็นยุคสิ้นสุดวิถีอิสระของชนยิปซีทะเลหมู่เกาะสุรินทร์
“ชาวมอแกนชอบอยู่แบบอิสระ ใครให้ทำอะไรก็ทำ บางทีพวกเราก็ไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดเพราะไม่ได้คิดอะไรซับซ้อน เป็นคนซื่อ ถูกข่มขู่นิดหน่อยก็กลัว ไม่ว่าถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างไร พอถูกข่มขู่ก็จบ ยิ่งเจอคนใหญ่คนโต พวกเราจะกลัวมาก และเลือกที่จะอยู่แบบสงบในโลกของเรา” ครูแคงอธิบายลักษณะนิสัยใจคอของพี่น้องเธอได้อย่างชัดเจน
ความรักอิสระและชอบอยู่อย่างสงบของชาวเล ทำให้กลายเป็นช่องว่างให้คนบางกลุ่มฉกฉวยผลประโยชน์ ผืนทรายชายหาดที่เคยเป็นของชาวเลซึ่งอยู่มานมนานต่างถูกบุกรุก-เบียดขับโดยเฉพาะภายหลังที่กระแสการท่องเที่ยวถั่งโถมอันดามัน ที่ดินทุกตารางนิ้วกลายเป็นทอง แรกทีเดียวชาวเลใช้วิธีถอยหนีเพราะคิดว่าผืนทะเลกว้างใหญ่ จนสุดท้ายแทบไม่เหลือผืนดินแผ่นน้ำให้อาศัยเพราะทุกแห่งต่างมีเจ้าของจับจอง

“ตอนนี้ก็ไม่คิดอะไรมาก ขอแค่มีมุมสงบๆ ของเราเหลือไว้บ้าง เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีอะไรมากมายเข้ามาเยอะจนเรารับมือไม่ไหว แม้ความเปลี่ยนแปลงจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่เราก็ยังอยากคงความสงบแบบเดิมๆ ไว้บ้าง”
มรสุมปีนี้ครูแคงและเด็กๆ มอแกนกว่า 80 คนในหมู่เกาะสุรินทร์ต้องเผชิญสถานการณ์อันหนักหน่วงกว่าทุกปี หลังจากที่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ได้เกิดไฟไหม้ใหญ่วอดเกือบทั้งหมู่บ้าน เงินทองสะสมที่ชาวบ้านหามาได้ตลอดฤดูกาลท่องเที่ยวเพื่อใช้ในช่วงปิดเกาะกลายเป็นเถ้าถ่านในกองเพลิง แม้หลายภาคส่วนต่างให้ความช่วยเหลือ แต่ยังไม่เพียงพอสำหรับปากท้องอีก 6 เดือนที่กำลังมาถึง
หมายเหตุ-ขณะนี้หลายฝ่ายกำลังร่วมกันระดมรับบริจาคเพื่อซื้อข้าวสารช่วยเหลือชุมชนมอแกนในหมู่เกาะสุรินทร์ โดยจะเดินทางไปส่งมอบในวันที่ 27-29 เมษายน ก่อนฤดูมรสุมจะมาถึง สามารถร่วมสมทบทุนตามกำลังได้ที่ https://taejai.com/th/d/riceformorgan/
#เพื่อนมอแกน #ข้าวสารเพื่อเพื่อนมอแกน #taejaidotcom
สำนักข่าวชายขอบ