Search

เศรษฐวัฒนธรรม P2P Resolution นวัตกรรมสังคมในสถานการณ์วิกฤต

โดย ผศ.ดร.สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์ วิทยาลัยโพธิวิชชาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

จากสภาวะการแพร่ระบาดของเชื่อโรคโควิด19 หรือ Corona Virus ทำให้รัฐต้องใช้มาตรการต่างๆ ในการป้องกันและรับมือกับความรุนแรงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรักษาระยะห่างทางร่างกาย (Physical Distance) การรักษาระยะห่างทางสังคม  (Social Distance) และการปิดประเทศ ปิดจังหวัด ปิดเมือง ตลอดจนการประกาศเคอร์ฟิว หรือ พรก.ฉุกเฉิน ซึ่งส่งผลกระทบประชาชนทุกอาชีพ ทุกระดับ อาจจะยกเว้นธุรกิจทุนผูกขาดอาหารบางเจ้าที่สามารถดำเนินกิจการสร้างกำไรในช่วงภาวะวิกฤติได้อย่างปกติหรือมากกว่าปกติ

ในระดับชุมชน ผลกระทบที่เกิดขึ้นมีมากน้อยขึ้นอยู่กับศักยภาพในการพึ่งตนเองด้านฐานทรัพยากรธรรมชาติในชุมชนนั้นๆ โดยเฉพาะเรื่องความมั่นคงทางอาหารกลายเป็นตัวชี้วัดการอยู่รอดของชุมชน อย่างเช่นชุมชนปกาเกอะญอบางชุมชนปิดหมู่บ้านโดยใช้พิธีกรรม “กรอฮี่” ซึ่งเป็นพิธีกรรมปิดหมู่บ้านแบบดั้งเดิม คนในห้ามออก คนนอกห้ามเข้า ก่อนที่รัฐบาลจะประกาศล็อคดาวน์ประเทศด้วยซ้ำ ทั้งนี้เพราะชุมชนปกาเกอะญอเหล่านี้มั่นใจว่าแม้ปิดหมู่บ้านชุมชนสามารถพึ่งตนเองอยู่รอดได้ด้วยการมีฐานทรัพยากรที่เป็นแหล่งอาหารเพียงพอสำหรับคนในชุมชน 

ในขณะที่หลายชุมชนก็ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐบาล เช่น ชุมชนชาวเลราไวย์ จังหวัดภูเก็ต ที่ประชาการส่วนใหญ่ยังชีพด้วยการหาปลาสดมาขาย เพื่อนำเงินมาซื้อข้าวและสิ่งของจำเป็นในชีวิต เมื่อพื้นที่ถูกปิด และธุรกิจการท่องเที่ยวหยุดกิจการทั้งหมด ทำให้ชุมชนชาวเลหาปลาได้แต่ไม่สามารถขายปลาสดได้  จึงไม่มีรายได้ที่จะไปซื้อข้าวกิน ทำให้เริ่มขาดแคลนข้าว 

ประเด็นนี้กลายเป็นโจทย์ทางสังคมในการค้นหาแนวทาง กระบวนการหรือเครื่องมือในการสร้างการอยู่ร่วมและอยู่รอด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของชุมชนในสภาวะวิกฤติการณ์เช่นนี้  ยิ่งในสภาวะที่กลไกของรัฐไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิธิภาพ ยิ่งต้องมีการสร้างนวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาให้ได้อย่างรวดเร็วทั้งเฉพาะหน้าและระยะยาว

“เศรษฐวัฒนธรรม P2P Resolution”  เป็นนวัตกรรมทางสังคมสำหรับการอยู่รอดของประชาชนในสถานการณ์วิกฤติ  โดยได้อธิบายแนวคิดนี้ว่าต้องทำให้เกิดกระบวนการความร่วมมือ 2 ลักษณะได้แก่

1.People to People เป็นกระบวนการและวิธีการให้ประชาชนกับประชาชน ได้มีพื้นที่ มีโอกาส ได้ใช้ศักยภาพทุนทางนิเวศวัฒนธรรมช่วยเหลือ แบ่งปัน แลกเปลี่ยนกันและกันให้ได้มากที่สุด 

2.Producers to Producers  เป็นกระบวนการและวิธีการให้ผู้ผลิตกับผลิต ที่มีสายสัมพันธ์อุปสงค์อุปทานเดียวกัน ได้มีพื้นที่ มีโอกาสใช้ศักยภาพทุนทางผลิตภัณฑ์ของกันและกันในการช่วยเหลือ แบ่งปัน แลกเปลี่ยนสิ่งที่มีกับสิ่งที่ขาดจากกันและกันให้ได้มากที่สุด

รูปธรรมของแนวคิดนี้ได้ถูกนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาขาดแคลข้าวกินสำหรับชาวเลชุมชนราไวย์ภายใต้โครงการ “ข้าวแลกปลา ชาวเลชาวดอย ฝ่าวิกฤติโควิด19” 

   

กล่าวคือมีการประสานให้ประชาชน ชนเผ่าพื้นเมืองชาวเล(People) กับประชาชน ชนเผ่าพื้นเมืองชาวปกาเกอะญอ(People) ได้มีโอกาสลุกขึ้นมาใช้ศักยภาพการผลิตบนฐานทุนในวัฒนธรรมตนเองในการช่วยเหลือ แบ่งปันแลกเปลี่ยนกัน  ซึ่งชุมชนปกาเกอะญออาศัยอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือ ภูมิประเทศเขตภูเขา ใช้พื้นที่ป่าและดูแลรักษา มีวัฒนธรรมการทำไร่หมุนเวียนปลูกข้าว มีข้าวพอกิน พอแบ่งปัน จึงได้มีการรวบรวมข้าวที่พอแบ่งปัน ส่งไปให้กลุ่มชุมชนชาวเลที่เดือดร้อนไม่มีข้าวกิน  ขณะที่ชุมชนชาวเลอาศัยอยู่ในบริบทชายหาด ริมเล ชีวิตกับทะเลผูกพันเป็นหนึ่ง มีวัฒนธรรมประมงพื้นบ้าน จับปลา พอกิน พอขาย จึงทำปลาแห้งเป็นน้ำใจตอบแทนชาวปกาเกอะญอ  

ชาวปกาเกอะญอเป็นคนปลูกข้าว(Producer) ได้นำผลิตผลซึ่งเป็นศักยภาพตามวิถีวัฒนธรรมของชุมชนแลกเปลี่ยนกับปลาตากแห้ง ซึ่งเป็นศักยภาพทางการผลิตตามบริบทนิเวศน์วัฒนธรรมของชุมชนชาวเล (Producer)  ที่กำลังมีความต้องการข้าวในสภาวะที่เมืองถูกปิด ขณะที่ชุมชนปกาเกอะญอเองก็ต้องการปลาแห้งเพื่อไปกินในช่วงที่ต้องไปเฝ้าระวังและดับไฟป่าในช่วงวิกฤติไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ เป็นการแลกเปลี่ยนความต้องการและการตอบสนองระหว่างผลิตผลกับผลิตผลโดยตรง โดยปราศจากกลไกตลาดซื้อขายที่ต้องแปรอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงินหรือพ่อค้าคนกลาง และไม่ได้เอาสินค้าหรือผลิตผลจากพื้นที่อื่นซึ่งไม่ใช่ตนเป็นผู้ผลิตมาแลกเปลี่ยนกัน  

การแลกเปลี่ยนผลผลิตที่อยู่ในเศรษฐวัฒนธรรม (Cultural Economics)  คือถ้านับอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นราคาจริง ๆ จำนวนข้าวสาร 4 กิโลกรัมต่อ ปลาแห้ง 1 กิโลกรัม  (ปลาสด 10 กิโลกรัม นำมาทำปลาแห้งได้ประมาณ 1 กิโลกรัม หากผ่าการตาก 3 แดด) ชุมชนชาวปกาเกอะญอที่นำข้าวสารมาแลก กับปลาแห้งพอทราบข้อมูลปริมาณปลาที่ชาวเลต้องหาเพื่อมาแลกข้าวสารตามอัตราแลกเปลี่ยนปกตินั้น เป็นภาระที่พี่น้องชาวเลในช่วงวิกฤตินี้ไม่น้อย เพื่อให้พี่น้องชาวเลจะได้ข้าวพอกิน ชุมชนปกาเกอะญอจึงตัดสินใจร่วมกันกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนที่ข้าวสาร 8 กิโลกรัมต่อปลาแห้ง 1 กิโลกรัม ทั้งนี้เพื่อการอยู่รอดร่วมกันทั้งคนดอย คนเล และปลาทะเล  

ชุมชนปกาเกอะญอเองมีความสบายใจ พึงพอใจ มีความสุขที่จะแลกเปลี่ยนในอัตรานี้ เพราะแลกเปลี่ยนเท่าที่จะกิน กินเท่าที่มี และคิดถึงความยั่งยืนของระบบนิเวศน์ด้วย เป็นเศรษฐวัฒนธรรมที่มีหัวใจแห่งความเอื้อเฟื้อ เกื้อกูล เมตตาและแบ่งปัน จึงเชื่อว่า “เศรษฐวัฒนธรรม P2P Resolution”  เป็นนวัตกรรมทางสังคมที่จะทำให้ประชาชนอยู่ร่วม อยู่รอดในสถานการณ์วิกฤตและหลังวิกฤติโควิด19  

แม้เราจะเจอสถานการณ์วิกฤติอื่น โมเดลนี้สามารถนำไปใช้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องข้าวแลกปลาอย่างเดียวก็ได้ การประยุกต์ใช้ขึ้นอยู่กับบริบทสถานการณ์และอุปสงค์อุปทานทางเศรษฐวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในอนาคต

——————

On Key

Related Posts