
จากกรณีลำห้วยคลิตี้เกิดสารตะกั่วปนเปื้อนมาตั้งแต่ พ.ศ. 2510 อันเป็นผลจากการปล่อยสารแต่งแร่ตะกั่ว ซึ่งส่งผลกระทบมาอย่างยาวนานต่อสภาพแวดล้อม และสุขภาพของประชาชนที่อาศัยในพื้นที่ใกล้เคียง จนนำไปสู่การฟ้องศาลปกครอง กระทั่งศาลปกครอง ตัดสินให้ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบชนะคดี และมีคำสั่งให้กรมควบคุมมลพิษ เป็นผู้รับผิดชอบการฟื้นฟูลำห้วยดังกล่าวนั้น

ปัจจุบัน ชาวบ้านคลิตี้ล่าง ตำบลชะแล อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี หนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ และเป็นจุดที่มีการฟื้นฟู พากันตั้งข้อสงสัยว่า โครงการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 15 พฤษจิกายน 2560 จนถึงต้นเดือนพฤษจิกายน 2563 ขาดความไม่โปร่งใส ภายหลังที่กรมควบคุมมลพิษ และบริษัทเบตเตอร์ เวิลด์ กรีน ที่เป็นผู้รับเหมาโครงการฟื้นฟูห้วยคลิตี้ ดำเนินงานล่าช้า และไม่เป็นไปตามแผน อีกทั้งยังจะขยายเวลาในการฟื้นฟูเพิ่มอีก
นายคำเพชร โต้งฟ้า อาสาสมัครสาธารณะสุขหมู่บ้านคลิตี้ล่าง ให้สัมภาษณ์เมื่อในวันที่ 29 พฤษจิกายนนี้ว่า “ผมว่าทางกรมควบคุมมลพิษ และบริษัท ไม่ได้ตั้งใจจะเข้ามาแก้ปัญหาแบบจริงๆ จังๆ เหมือนเขาเลี้ยงไข้ ค่อยๆ ทำ ไป เพราะก่อนหน้าที่จะเข้ามาทำการฟื้นฟู เคยบอกชาวบ้านว่า จะใช้เวลาแก้ปัญหาสารตะกั่วปนเปื้อนในห้วยคลิตี้ 3 ปี แต่วันนี้ก็ครบ3ปีแล้ว ยังแก้ปัญหาไม่ได้ เขาอ้างเหตุผลว่า มีอุปสรรคในการดำเนินงาน ที่ทำให้งานล่าช้า ซึ่งจะต้องทำการฟื้นฟูต่อในเฟส2 ตรงนี้ มันไม่ตรงกับที่แจ้งชาวบ้านตอนแรก”

อาสาสมัครสาธารณะสุขหมู่บ้านคลิตี้ ยังกล่าวอีกว่า ก่อนหน้าที่บริษัทจะเข้ามาทำการฟื้นฟู เคยนำวีดีโอแผนการฟื้นฟูแบบจำลอง มาฉายให้ชาวบ้านดูด้วย และในวีดีโอนั้น ก็มีระบบวางท่อ การดูดสารตะกั่ว ที่ทันสมัย มีความเพียบพร้อม อลังการ น่าเชื่อถือมาก แต่สภาพหน้างานจริง อุปกรณ์ที่ใช้ในฟื้นฟู ดูไม่ได้มาตรฐานเลย ยกตัวอย่างเช่น เรือที่ใช้ดูดตะกอนสารตะกั่วนั้น มีขนาดเล็ก และต้องใช้คนไปควบคุม แต่ในวีดีโอไม่ต้องใช้ อีกทั้ง เรือของบริษัท ก็ยังไม่สามารถเข้าไปดูดในพื้นที่ที่ระดับน้ำมีความลึกได้ เท่ากับสารตะกั่วบริเวณนั้น ก็ยังจะต้องตกค้างอยู่”
ขณะที่นางรัตนา บุญเสริมถาวรนิจ เจ้าของร้านค้าในหมู่บ้านคลิตี้ล่าง มองไปในทิศทางเดียวกันว่า “ตามที่เรารู้คือ เขาได้งบประมาณเกือบ 500 ล้านบาทมาฟื้นฟู แต่จากสภาพที่เห็น เงินจำนวนนี้ มันควรจะทำได้ดีกว่านี้ แรงงานก็ไม่ได้จ้างผู้ที่มีความรู้จริงๆมา แต่จ้างชาวบ้านที่ไม่มีความรู้นี่แหละทำ และเวลาทำ ก็ทำเหมือนให้มันเสร็จๆไปเอง คือตอนแรกก็คิดว่าเขาฟื้นฟูแล้วมันจะดี แต่ยิ่งทำกลับยิ่งแย่ แบบนี้มันเหมือนเขาอยากจะทำไปเรื่อยๆนานๆ หรือเปล่า”
ด้าน ผศ.ดร.ธนพล เพ็ญรัตน์ 1 ในคณะกรรมการไตรภาคี เพื่อติดตามการดำเนินโครงการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ ที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับสารตะกั่วปนเปื้อนได้ตั้งสังเกตถึงความไม่โปร่งใสประเด็นนี้ด้วยเช่นกัน ว่าตั้งแต่การสร้างบ่อดักตะกอนในการฟื้นฟูของบริษัทนั้น ไม่เป็นไปตามข้อตกลง TOR คือ บ่อที่สร้างจริงมีขนาดเล็ก ดูไม่ได้มาตรฐาน แต่บริษัทก็ให้เหตุผลว่า ไม่มีพื้นที่เพียงพอที่จะสร้างบ่อดักตะกอนตาม TOR ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ในการลงพื้นที่ก่อนการฟื้นฟู ก็ได้ใช้งบประมาณไปถึง 12 ล้านบาทในการสำรวจพื้นที่ที่ทำบ่อดักตะกอน และเรื่องอื่นๆในการฟื้นฟูแล้ว อีกทั้งไม่มีความเชี่ยวชาญ ลองผิดลองถูกไป ทำให้ใช้ระยะเวลาฟื้นฟูนานกว่าที่ควรจะเป็น
“เมื่อก่อนมีแค่เฟสเดียว คือต้องดูดสารตะกั่วแล้วก็จบ และ คำว่าจบในที่นี้ ถ้าเป็นไปตามคำสั่งศาล ก็คือ น้ำ ปลา ดิน แล้วก็ผัก มันต้องผ่านค่ามาตรฐานต่อเนื่องอย่างน้อย 1ปี แต่ตอนนี้ เฟส1 จบไปแล้ว กลับยังมีสารปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานอยู่เลย และพอเป็นแบบนี้ ทางกรมควบคุมมลพิษบอกว่า ถ้าทำไม่สำเร็จ เขาก็จะกลับมาทำต่อ ผมก็เลยตั้งคำถามว่า แล้วมันจะมีอีกกี่เฟส เพราะชาวบ้านอยู่มาตั้งนาน แล้วจะต้องอยู่กับสารปนเปื้อน อยู่รอการฟื้นฟูแบบนี้ไปเรื่อยๆต่อไปหรือ ในขณะที่เงินฟื้นฟูเฟสแรก 400 กว่าล้านเข้าไปแล้ว”

ด้านนายสายชล แสงให้สุข นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมชำนาญการของกรมควบคุมมลพิษ(คพ.) และเป็นกรรมการโครงการฟื้นฟูห้วยคลิตี้ ให้เหตุผลว่า การดำเนินการล่าช้า เป็นเพราะสภาพภูมิประเทศและอากาศที่เป็นอุปสรรค
“ความล่าช้านี้เกิดจากหลายองค์ประกอบ มีปัญหาอุปสรรคในเรื่องของธรรมชาติมาเป็นองค์ประกอบด้วย เพราะใน1ปี เราไม่ได้ทำทั้งปี เราทำได้เพียง 5 -6 เดือน เพราะเวลาฝนตกเราทำไม่ได้ น้ำขุ่นจะเกิดการแตกกระจายของตะกอน ซึ่งอันตรายต่อผู้ปฏิบัติงานด้วย เราไม่มีทางทำได้ การดูดตะกอนที่เป็นหัวใจหลักจริงๆของงานฟื้นฟูเลยทำให้เวลาไม่พอ ส่วนเรื่องการจะดำเนินการเฟส2 อันนี้ก็ต้องมาว่ากันถึงเวลาที่ต้องทำต่อว่า อะไรที่เรายังทำไม่เสร็จ มีอะไรที่ยังค้างต้องทำต่อ อย่างไรก็ต้องทำต่อ เพราะตะกอนจะต้องมีลงทุกปีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจะต้องมี2เฟสขึ้น”
ขณะที่นายอัครวิทย์ ขันธ์แก้ว ตัวแทนบริษัทเบตเตอร์ เวิลด์ กรีน ให้เหตุผลว่าผลกระทบนี้เกิดจากบริษัทที่สร้างโรงแต่งแร่ เขาสร้างมลพิษสะสมมา30ปี แล้วถามว่า เรามีเวลาฟื้นฟูแค่3ปี เพียงพอหรือไม่ จะไปเสร็จได้อย่างไร จริงอยู่ตามคำสั่งให้ฟื้นฟูนั้นต้องภายใน 1,000 วัน แต่ใน1,000วัน รวมฤดูฝนด้วย แต่เราทำไม่ได้เวลาฝนตก อีกอย่างเรื่องเส้นทางเข้ามาถึงพื้นที่เพิ่งจะทำให้รถเข้ามาได้แบบไม่ลำบากซึ่งใช้เวลา1ปีแล้ว บางทีชาวบ้านบางส่วนก็ไม่เข้าใจ