น้ำ คีตาญชลี

“เธอ ร้องเพลงนี้ให้เราหน่อย เราเขียนไว้มันต้องเป็นเสียงผู้หญิง” แก้วใส หนึ่งในสมาชิกวงสามัญชน ผู้เป็นเพื่อนรักนักกิจกรรมของฉัน บอกในช่วงหัวค่ำก่อนที่พวกเราออกเดินทางไปหาชาวบ้านและเล่นดนตรีด้วยกันที่หมู่บ้านบางกลอย-โป่งลึก
“ได้สิ ขอเนื้อเพลงด้วย” ฉันตอบทันทีอย่างไม่ลังเล ด้วยเชื่อฝีมือการเขียนเพลงที่สะท้อนความระทมทุกข์ของผู้คน ที่มีทำนองและภาษาเรียบง่ายแต่ไพเราะเสมอของเขา
“กลอยเอ๋ยกลอยใจ คอยใครคนหนึ่งคืนกลับมา
คอยเอ๋ยคอยใคร คอยใจที่หายไปให้เติมต่อ
ขอให้รักเราจงเจริญ”
ฉันอ่านเนื้อเพลงท่อนนี้แล้วน้ำตาคลอเบ้า รู้ว่าเสียงผู้หญิงที่แก้วใสต้องการ คือเสียงของมึนอที่รอคอยบิลลี่กลับมานั่นเอง
แก้วใสแต่งเพลงเพื่อบางกลอยไว้ 2 เพลง คือเพลงที่ฉันต้องร้อง และเพลงที่เขาดัดแปลงมาจากทำนองของพี่น้องชาติพันธุ์ทางใต้ หลังกินข้าวมื้อแรกเสร็จในตอนเที่ยงเราจึงซ้อมกัน ฉันช่วยออกแบบตกแต่งเสียงประสานในบทเพลงของเขาหลายส่วน แต่ไม่เปลี่ยนทางดนตรีใดๆที่เขาเล่น เพื่อคงความเรียบง่ายและความสบายใจของเจ้าของเพลง เมื่อจะต้องเล่นคู่เพื่อนนักดนตรีขี้จุกจิกในคืนนี้
หลังพิธี “เรียกขวัญข้าว”ของชาวบ้านเสร็จสิ้น พวกเราทั้งหมดที่เดินทางมาเยี่ยมเยือน ได้รวมตัวกันกินข้าวในศาลาพอละจี ที่คราวนี้ชาวบ้านทำขนมหวานที่ทำมาจากข้าว และน้ำตาลมะพร้าวให้เรากินด้วย
“ไอหนู เล่นดนตรีสิลูก” คือคำกล่าวเปิดคอนเสิร์ตง่ายๆจาก ครูแดง-เตือนใจ ดีเทศน์ ที่เสมือนเป็นครูใหญ่ของพวกเราในทริปนี้
ฉันเริ่มคอนเสิร์ตเดี่ยวด้วยเพลง “เจ้าผีเสื้อเอย” ตามคำขอของครูแดง เพราะแก้วใสยังอิ่มจัดอยู่
เมื่อดนตรีของฉันเริ่มบรรเลง เด็กๆที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ก็กรูกันเข้ามาห้อมล้อมศาลาพอละจีจนแน่นไปหมด จบเพลงฉันจึงเรียกพวกเขาเข้ามานั่งกับพวกเราข้างใน เพราะจริงๆคนที่เราอยากเล่นให้ฟังมากที่สุดก็คือพวกเขานี่เอง จบเพลงเจ้าผีเสื้อเอย ต่อด้วยเพลง “ลูกหมูใส่รองเท้าก็อบ กิ๊บ ก็อบ” เพื่อเอาใจเด็กๆ แต่ดูเหมือนจะถูกใจผู้ใหญ่เสียมากกว่า เด็กๆกะเหรี่ยงส่งตาแป๋วเป็นคำถามว่าพยาธิไชเข้าเท้าหมูอย่างไร เพราะเราวิ่งเล่นกันแต่ในแม่น้ำ
เมื่อมีผู้ใหญ่มาสมทบมากขึ้น ฉันจึงเปลี่ยนโทนของเพลงกลับมาเป็นเพลงเพื่อชีวิตที่ยกชูการต่อสู้ของประชาชน แสงดาวแห่งศรัทธา ตามคำขอครูแดง ที่เรียกเสียงปรบมือจากผู้ใหญ่ได้เกรียวกราว แต่เด็กๆก็ยังสงสัย ว่าคนจะยืนเด่นและท้าทายอะไรหนอ ต่อด้วยเพลงรามัญคดีที่ฉันเขียน ฉันอธิบายสั้นๆว่าเพลงนี้เขียนให้พี่น้องมอญที่จากบ้านเกิดมาทำงานในแผ่นดินไทย แต่เนื้อหาคิดว่าเหมาะกับเหตุการณ์วันนี้
“เพื่อคงดำรงอยู่ซึ่งเผ่าพันธุ์ เล่าต่อเรื่องเก่าสู่ลูกหลาน
ให้เจ้าไม่ลืมรากลืมที่มา เป็นทางเดินต่อ
จงทนงในสายเลือดไม่คลาย
ยิ่งใหญ่ด้วยศักดิ์ศรี ความเป็นคนเท่าเทียมที่หัวใจ
ยิ่งใหญ่ด้วยศักดิ์ศรี ค่าแห่งคน อยู่ที่หัวใจ”
แรกนั้นฉันคิดว่าเนื้อที่เขียนเด็กๆน่าจะเข้าใจยากสักหน่อย แต่กลับเป็นเพลงที่เรียกเสียงปรบมือจากพวกเขาอย่างสนั่นหวั่นไหว ฉันเริ่มได้เห็นประกายบางอย่างในแววตาของพวกเขา
“จำไว้เด็กๆ พวกหนูคือคน เท่าๆกับคนอื่น” ฉันทิ้งท้ายช่วงการแสดงเดี่ยวของตนเองก่อนเชิญแก้วใสขึ้นมาเล่นเพลงที่ซักซ้อมกัน
เราอธิบายว่าเพลงที่เรากำลังจะเล่น เป็นเพลงที่แก้วใสแต่งให้ชาวบ้านที่นี่โดยเฉพาะ ถือเป็นเพลงของเด็กๆที่นี่ทุกคนด้วย เพลงแรกคือ “กลอยใจ”ที่เราทั้งคู่ต้องตีความตัวเองแทนผู้คนที่นี่ซึ่งรอบิลลี่กลับมา ทั้งศาลานิ่งสงัด ในเสียงของความเศร้า และการให้กำลังใจซึ่งกันและกันจากความเจ็บปวดของการอุ้มหาย เสียงปรบมือดังลั่นปลุกพวกเราจากความเศร้า
เพลงต่อมาคือใจเดียวกัน เป็นจังหวะร๊อค ที่มีท่อนร้องว่า” ปาเกอยอ ปาเกอยอ” ซ้ำๆวนไปวนมา ฉันจึงชวนแก้วใสสอนเด็กๆร้องท่อนนี้ และช่วยพวกเราร้องเพลงนี้ไปด้วยกัน “ปาเกอยอก็คือคน” ประโยคสั้นๆที่เสียดแทง ในบทเพลงของเขา ที่พยายามสื่อสารให้เข้าใจถึงวิถีและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนกะเหรี่ยงหรือปาเกอยอ
เด็กๆเรียนรู้รวดเร็ว ไม่ถึง 2 นาที พวกเขาก็จำทำนองได้ เมื่อเข้าตัวเพลงจริงๆ พวกเขาร้องมันออกมาเต็มเสียง ฉันเห็นรอยยิ้มและความภาคภูมิใจของพวกเขา ที่ได้เกิดเป็นปาเกอยอจากแววตาและเสียงประสานสนั่นหุบเขาของคำว่า “ปาเกอยอ ปาเกอยอ” วนไปมา
เมื่อจบการแสดงทั้งหมด (หลังจากเด็กๆยังขอเพลงไม่เลิกแต่เรากลัวจะดึกไปแล้วอาบน้ำไม่ได้) เด็กๆเดินออกจากศาลาพอละจี เรายังได้ยินเสียงเพลงนี้จากพวกเขาระหว่างเดินกลับบ้าน หัวใจเราพองฟูแต่คงไม่เท่าแก้วใส ตัวเจ้าของบทเพลง ที่ค่ำคืนนี้เพลงของเขาทำหน้าที่ของมันได้อย่างงดงามที่สุด ไม่ใช่แค่การให้กำลังใจ แต่คือการสร้างความภาคภูมิใจและความทรนงให้แก่เด็กๆบางกลอย
เช้าก่อนเดินทางกลับ เรานัดเด็กๆมาถ่ายวีดีโอเพลงนี้ตอน 8 โมง แต่ตัวเองกลับไปสายครึ่งชั่วโมง ฉันไปถึงที่นัดหมายก็ไม่พบเด็กซักคน ฉันคิดในใจ ว่าฉันคงจะเป็นคนไทยที่มีเคียวในท้อง 7 เล่มตามความเชื่อของกะเหรี่ยงไปเสียแล้ว ที่ว่าคนไทยน่ากลัวพูดอะไรก็ไม่เป็นจริง เพราะในท้องพวกเขามีเคียวอยู่ถึง 7 เล่ม ทำให้เด็กๆกะเหรี่ยงต้องหวาดกลัววิ่งหนีไป
แต่เมื่อเจอสาวชาวบางกลอยที่เดินผ่านมา เธออธิบายให้ฟังว่า เด็กๆฟังไม่เข้าใจว่าเราอยากให้พวกเขาทำอะไร ก็เลยไม่มีใครมา ไม่ใช่เพราะมาแล้วไม่เจอ เขาเลยกลับกันไปหมด
“โอเค พี่ได้ล้างเคียวออกจากท้องแล้ว” ฉันบอกน้องสาวไทยและกะเหรี่ยงตรงนั้นอย่างสบายใจ
เมื่อเดินย้อนกลับมาถึงหมู่บ้าน เหล่าเด็กผู้หญิงตัวน้อยวิ่งกรูมาหาและกอดฉัน “พี่คะ เล่นดนตรีอีกสิ” เรากับแก้วใสหัวใจลิงโลด เปิดคอนเสิร์ตกลางแจ้งก่อนเดินทางกลับสู่เมือง นอกจากบทเพลง พิธีขวัญข้าว สิ่งที่เราคิดถึงที่สุด ก็คงเป็นการเต้นรำ รอยยิ้มของชาวบ้านตอนฟังเพลง ประกายจากแววตาของเด็กๆ และเสียงประสานในทำนอง “ปาเกอยอ” ที่สะท้อนก้องในหุบเขา ในค่ำคืนที่เรารู้ว่า เราทั้งคู่ทำหน้าที่นักดนตรีของตนเองได้อย่างสมบูรณ์ และเราทำมันสำเร็จอย่างลำพังไม่ได้เลย หากขาดใครตรงนี้ไปซักคน