ความมืดเข้ามาปกคุม จวนจะทุ่มหนึ่งอยู่แล้ว แต่เสียง “ตึ้ม ตึ้ม ตึ้ม” ยังดังถี่ยิบมาจากหัวมุมทำเนียบรัฐบาลฝั่งสะพานอรทัย ขณะที่เหล่านักรบซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิค เด็กอาชีวะและมหาวิทยาลัยรามคำแหง ยังคงวิ่งเข้าวิ่งออกในซอกระหว่างตึกซึ่งทะลุไปยังประตูทำเนียบรัฐบาลได้
บริเวณที่ว่างระหว่างตึกมีถังน้ำ 3 ถังวางอยู่ โดยมีสายยางคอยเติมน้ำให้เต็มอยู่ตลอดเวลา ใกล้ๆมีขวดน้ำเปล่าและน้ำเกลือสำรองไว้มากมาย
ทันทีที่ควันขาวฟุ้งกระจายด้วยกระสุนแก๊สน้ำตามาตกที่ซอกตึก พวกเขาก็เฮกันกลับเข้ามาด้วยดวงตาและใบหน้าอันแดงกล่ำ พร้อมกับคำสบถต่างๆ พอล้างหน้าล้างตาเสร็จ พวกเขาก็เดินกลับไปใหม่ ในมือมีเพียงหนังสติ๊กบ้าง ไม้บ้าง ดูแล้วพวกเขาช่างมุ่งมั่นที่จะทะลวงเข้าไปยึดทำเนียบให้ได้ และไม่สะทกสะท้านกับแก๊สน้ำตามเอาเสียเลย ราวกับรู้สึกคุ้นเคยกับเจ้าสารเคมีตัวนี้เป็นอย่างดี
ผมเดินทางมาสังเกตสถานการณ์เผชิญหน้าระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมกับตำรวจที่บริเวณสะพานชมัยมรุเชฐหรือแยกพณิชการ ตั้งแต่ 5 โมงเย็น
วันที่ 2 ธันวาคม เป็นอีกวันหนึ่งที่บริเวณนี้เกิดการปะทะกันอย่างหนัก และกลุ่มผู้ชุมนุมในความรับผิดชอบของคปท.จวนเจียนที่จะทะลวงเข้าไปถึงประตูทำเนียบรัฐบาล ขณะที่ฝ่ายตำรวจได้ยิงแก๊สน้ำตามมาจากฝั่งทำเนียบขนาดหนักมาเกือบทั้งวัน
“ชมัยรอบ 2 กำลังจะเริ่มแล้ว” เสียงสตรีผู้ประสานงานฝ่ายมวลชนเดินป่าวประกาศผ่านโทรโข่ง ฝังเผินๆเหมือนชวนไปดูหนังกลางแปลงเรื่องชมัย แต่ของจริงคือการบุกรอบ 2 ณ สะพายชมัยฯกำลังจะเริ่ม มวลชนในบริเวณนั้นต่างหยิบอุปกรณ์ป้องกันแก๊สน้ำตาที่พกติดตัวมาเตรียมพร้อม บ้างเป็นหน้ากาก บ้างเป็นผ้าปิดจมูก บ้างเป็นผ้าขนหนูชุบน้ำ ดูท่าแต่ละคนแทบไม่มีความหวาดหวั่น ทั้งๆที่ความจริงแล้ว หากคิดเอาตัวรอดก็สามารถเข้าไปหลบในมหาวิทยาลัยโทคโนโลยีพระนคร หรือชื่อเดิมคือวิทยาลัยพณิชพระนคร ได้
“อ้าวทุกคนเตรียมพร้อม ผู้หญิงไปอยู่ข้างหลัง ผู้ชายอยู่ข้างหน้า เราตื่นตัวได้ แต่อย่าขาดสติ เวลาที่แก๊สน้ำตามาตกก็พยายามหมอบไว้ อย่าวิ่ง”หลวงปู่พุทธอิสระถือไมค์อยู่บนรถเครื่องเสียงป่าวประกาศ “เราต้องเอาธรรมไปชำระจิตใจตำรวจเขาบ้าง”
ขณะที่ฝ่ายตำรวจได้เปิดเพลงมาร์ชพิทักษ์สันติราษฎร์ หรือที่มักเรียกกันว่าเพลงเกียรติตำรวจไทย ดังกระหึ่มเพื่อหวังผลทางจิตวิทยา สลับกับการป่าวประกาศ “ขอให้พี่น้องที่ไม่เกี่ยวข้องถอยออกไป อย่าตกเป็นเครื่องมือของผู้ที่ไม่หวังดี เดี๋ยวครั้งนี้เราจะใช้กระสุนยางน่ะครับ แม้แต่กระจกรถยังแตก”
โชคดีที่พระอาทิตย์ตกดินเสียก่อน ทำให้แกนนำมวลชนไม่สั่งลุยรอบ 2 เพราะห่วงในเรื่องความปลอดภัยของผู้ร่วมชุมนุม ทำให้ความตึงเครียดบริเวณแยกพณิชการค่อยๆคลี่คลาย แต่อีกมุมหนึ่งข้างทำเนียบยังคงพวยพุ่งด้วยควันจากพรุและแก๊สน้ำตา
“วันก่อนเราบุกเข้าไปจะถึงอยู่แล้ว ดันสั่งให้ถอย เลยต้องมาเริ่มกันใหม่” นักรบวัยรุ่นคนหนึ่งนั่งปรับทุกข์อยู่กับเพื่อนระหว่างพักยก แม้แสงอาทิตย์ลับเหลี่ยมทำเนียบไปนานแล้ว แต่พวกเขายังคงวิ่งเข้าวิ่งออกประสานกับเพื่อนนักรบอีกฝั่งหนึ่งของคลองผดุงกรุงเกษม
ภายในอาคารฝึกอบรมการโรงแรมของมหาวิทยาลัยกลายเป็นฐานที่มั่นให้นักสู้กลุ่มหนึ่งใช้ต่อกรกับตำรวจที่ป้องกันทำเนียบ แม้จะมีแค่หนังสติ๊กและไม้หน้าสามก็ตาม แต่เหล่านักรบไร้สังกัดเหล่านี้กลับมีหัวใจเด็ดเดี่ยวมาก
ผมเดินออกมาจากวิทยาลัยพณิชการพระนครด้วยความมึน
มึนด้วยแก๊สน้ำตา ยังไม่เท่ากับความมึนที่เกิดคำถามในใจตัวเอง “ทำไมความโกรธเกลียดถึงรุนแรงและมากมายกันขนาดนี้
แล้วอนาคตสังคมนี้จะมีทางออกมั้ยเนี่ย”
—————-
โดย ภาสกร จำลองราช