เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย น.ส.เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ และนางดาวัลย์ จันทรหัสดี ตัวแทนชาวบ้านคลองด่าน แถลงข่าวถึงกรณีที่ศาลอุทธรณ์ตัดสินยกฟ้องคดีคลองด่านเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน มีผลทำให้บริษัทเอกชนทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับคดีอาญาฉ้อโกงสัญญาและฉ้อโกงที่ดิน ที่กราควบคุมมลพิษ(คพ.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 พ้นผิด จากที่ก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นได้พิพากษาเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2552 ให้จำคุกบุคคลรายละ 3 ปี และนิติบุคคลสั่งปรับรายละ 6000 บาท พร้อมกับยกฟ้องบริษัทกิจการร่วมค้า NVPSKG โดยทั้งคู่มีความเห็นว่าคพ.ควรรีบยื่นฎีกาโดยเร็วที่สุดเพื่อต่อสู้คดีนี้ให้ถึงที่สุด และรักษาผลประโยชน์ของประเทศ เนื่องจากถ้าหากแพ้คดี หรือไม่สามารถฎีกาได้ทันภายในกำหนด (19 ธค. 56)เท่ากับสละสิทธิ์ ซึ่งเท่ากับแพ้คดีดังกล่าว
ทั้งนี้ในเอกสารข่าวทั้งน.ส.เพ็ญโฉมและนางดาวัลย์ ระบุว่าหากคดีนี้คพ.ต่อสู้จนได้รับชัยชนะ จะสามารถนำผลของคดีนี้ไปฟ้องคดีแพ่งเพื่อเรียกเงินคืนจากกลุ่มผู้รับเหมาเป็นเงินกว่า 20,000 ล้านบาท นั่นหมายรวมถึงที่ดิน ที่ปัจจุบันถูกเพิกถอนโฉนดแล้ว จำนวน 4 แปลง รวม 1300 กว่าไร่ เป็นเงินรวม 1300 ล้านบาท กลับคืนให้รัฐ
“หากโจทก์ (คพ.) สละสิทธิ์ฎีกา หรือแพ้คดี จะส่งผลกระทบต่อการฟ้องคดีคลองด่านที่คพ.เป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุดเรื่องข้อพิพาทอนุญาโตตุลาการ ซึ่งจะทำให้ คพ. จะต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่กลุ่มผู้รับเหมาโครงการ (5 บริษัท) กว่า 10,000 ล้านบาท”
ในคำแถลงข่าวยังระบุด้วยว่า คพ.ควรรีบยื่นฎีกาโดยเร็วที่สุด และมีความจริงจังในการต่อสู้คดีนี้ให้ถึงที่สุด เรายินดีร่วมสนับสนุนการต่อสู่คดีนี้อย่างเต็มที่ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศและเงินภาษีของประชาชน ขณะที่สาธารณชนเองก็ควรร่วมติดตามกรณีนี้อย่างใกล้ชิด อย่าปล่อยให้นักการเมืองและบริษัทเอกชนใช้อิทธิพลกดดันจนสามารถล้มคดีนี้ได้
“เราขอเรียกร้องให้ทนายฝ่ายโจทก์ทำคดีนี้อย่างเต็มความสามารถและด้วยจิตสำนึกของความเป็นตัวแทนประชาชนผู้เสียภาษี เนื่องจากเราเชื่อว่ากรณีนี้มีโอกาสสูงที่จะถูกแทรกแซงจากกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ จึงเรียกร้องให้ คพ. และทนาย อย่าตกอยู่ภายใต้แรงกดดันของผู้ที่จะได้รับผลประโยชน์จากการแพ้คดี”
———
ภาสกร จำลองราช