จารยา บุญมาก เรื่อง/ภาพ
โลกอินเตอร์เน็ตของประเทศไทยหลังเปิดเสรีกัญชา มีการโต้เถียงกันดุเดือดมากทั้งฝ่ายโจมตีกัญชาและฝ่ายสนับสนุน ฝ่ายที่ต่อต้านแบบมีเหตุผล ก็ยังพอรับฟังได้ แต่สังคมอีกด้านมีการรายงานข่าวด้านลบที่ปล่อยออกมาราวกับว่า ทำวิจัยวันนี้ผลร้ายของกัญชาออกวันนี้ผลออกพรุ่งนี้ได้เลย สวนทางกับผลด้านบวกของกัญชาอย่างมาก ที่หลายประเทศใช้เวลาศึกษานานปี ก่อนจะทยอยออกกฎการใช้ที่สอดคล้องกับสภาพสังคม ซึ่งแน่นอนว่ามีมุมศาสนาและการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ
ส่วนตัวดิฉันมองว่า สังคมไทยเรายังจัดการยาก เพราะมีหลายปัจจัยที่ทำให้คนไทยคิดเห็นแตกต่างกันในเรื่องกัญชา ไม่ว่าจะเป็นข้อกำหนดทางศาสนาและผู้นำศาสนาที่ไม่สนับสนุนการใช้สิ่งมึนเมา อีกปัจจัยที่เห็นชัด คือ เรื่องของระบบอำนาจนิยมที่เข้ามาจัดการกลุ่ม อย่าว่าแต่กัญชาเลย ในสถานที่ทำงาน โรงเรียนและสถานประกอบกิจกรรมบางอย่าง แค่ดื่มน้ำอัดลม ชา กาแฟ หรือผลไม้ กินขนมระหว่างประชุม ระหว่างการเรียน ยังต้องมีการไต่ตรองเรื่องมารยาท ตามมาด้วยกฎระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ ประเทศไทยเองเป็นประเทศเล็กเมื่อมีการประกาศใดๆระดับประเทศ เป็นเรื่อง ที่จะมีความขัดแย้ง ความชุลมุนในสังคมไทยจึงมีขึ้นหลังการเปิดเสรีกัญชา ไม่ต่างจากประเด็นอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่แค่ผลจากฤทธิ์ของกัญชาเท่านั้น หากหมายรวมถึงการบังคับใช้กฎหมายการค้าและความซื่อสัตย์ของกลุ่มธุรกิจกัญชาทุกภาคส่วนด้วย
ในแง่ของข้อมูลการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ จะปล่อยให้ผู้มีความรู้โดยตรงวิจารณ์กันไป แต่ในนามพลเมืองไทยที่อยู่ในสหรัฐฯ จะมาเล่าจากมุมมองส่วนตัว พร้อมหยิบยกประสบการณ์ของเพื่อนร่วมสังคม บางส่วนมาอธิบายร่วม
ข้อแตกต่างที่ชัดเจนในการบริหารจัดการกัญชาระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐฯ คือ ประเทศไทยประกาศทั่วประเทศ แต่สหรัฐฯ เริ่มต้นทีละรัฐและเขตการปกครอง ซึ่งแบ่งได้ 3 กลุ่ม คือ 1 กลุ่มกัญชาถูกกฏหมายที่ใช้ทั้งทางการแพทย์และสันทนาการ 2 กลุ่มกัญชาถูกกฏหมายเฉพาะทางการแพทย์ และ 3 กลุ่มกัญชาผิดกฎหมาย โดยมีรัฐที่ใช้กัญชาเพื่อสันทนาการมีทั้งหมด 15 รัฐ ประกอบด้วย อะลาสก้า วอชิงตัน อริโซนา แคลิฟอร์เนีย โคโลราโดอิลลินอยส์ เมน แมสซาชูเสต มิชิแกน มอนทาน่า เนวาดา นิวเจอร์ซี นิวยอร์ค โอเรกอน และเวอร์มอนต์ โดยประสบการณ์ที่นำมาถ่ายทอดวันนี้ จะขอเล่าแค่ในขอบเขตของรัฐที่ปล่อยเสรี หมายถึงใช้ทางการแพทย์และสันทนาการ
“กัญชา” ที่มาของรอยยิ้มของวิศวกรและอาจารย์มหาวิทยาลัย
เจลลี่ผสมกัญชาเม็ดเล็กขนาดเท่าถั่วลิสงผ่าครึ่ง ค่อยๆ ลดจำนวนลงจากบรรจุภัณฑ์เก่า และ “แม็ค” ผู้ครอบครองรู้ดีว่าไม่นานเขาต้องหาซื้อมาเติมไว้ติดบ้าน
แม็คในวัย 38 ปี เป็นวิศวกร และครูสอนประจำวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในรัฐแคลิฟอเนียร์ ในแต่ละวันเขาต้องทำงานหลายชั่วโมง เขาไม่อยากให้เนื้อตัวมีกลิ่นกัญชาติด จึงเลือกจะกินเจลลี่เพื่อผ่อนคลายอารมณ์ของเขา ก่อนจะไปเจอสังคมนักศึกษาและเพื่อนร่วมงาน
ในวันหยุดแม็คสูบกัญชาเป็นปกติ วันละ 2-3 มวน เพราะสร้างประสิทธิภาพในการลดเครียดให้เขามากขึ้น ไม่ใช่แค่การกินและสูบกัญชาเท่านั้น ยังมีน้ำมันนวดตัวมีส่วนผสมของกัญชาด้วย ในส่วนของน้ำมันนวดวิศวกรหนุ่มไม่ได้ใช้ตลอดเวลา ใช้ในยามปวดเมื่อยจากการขับรถเท่านั้น
ในแต่ละวันแม็คทำโครงการด้านวิศวกรรมศาสตร์ ใจจดจ่ออยู่กับเล่มข้อมูลหลายอย่าง เขาเป็นคนที่จริงจังกับทุกสิ่ง เป็นเรื่องยากที่จะแยกนิสัยของเขาก่อนและหลังสูบกัญชา สิ่งเดียวที่พอจะบอกได้ คือ เขากล้าสบตานักศึกษามากขึ้น หากเขาใช้กัญชา เรื่องนี้ “แดเนียล” นักศึกษาในชั้นเรียนของแม็คยืนยันว่า ครูของเขาตาตกตลอดเวลา เหมือนพยายามหนีฝูงชนเสมอ และวันไหนที่เขาไม่สบตานักเรียน นักศึกษา เขามักจะถูกแซวว่า ไปเสพยาอะไรที่แรงๆ ระยะหลังแม็คเลยต้องใช้กัญชาเพื่อไปสอนหนังสือ เพื่อจะได้ใช้สายตาสื่อสารเต็มที่
“ชอคโกแลตกัญชา”ของผู้ป่วยกล้ามเนื้อหดเกร็ง
“เจฟ” เป็นผู้ป่วยนั่งรถเข็นรายหนึ่งที่บริโภคกัญชาเป็นประจำ เพื่อป้องกันการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ หลังการผ่าตัดสมอง เนื่องจากเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยครอบครัวและพยาบาลที่ติดตามดูแลรับรู้ และวันใดที่เขาขาดกัญชา เขาจะนอนไม่หลับ พ่วงด้วยอาการเกร็งแขน ขา นำมาซึ่งอุปสรรคในการใช้ชีวิตบนรถเข็น ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ร่างกายของเขาจึงจำเป็นต้องผ่อนคลาย และบางทีเขาก็หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี ขณะที่ช่วงเวลาที่เขาไม่ได้ใช้กัญชา เขาจะหน้านิ่ง และเงียบ ไม่พูด ไม่ขำใดๆ หนักกว่านั้น เขาร้องไห้และเสียใจกับครอบครัวที่ต้องแบกรับภาระดูแลเขาในวัย 40 ปี
อย่างไรก็ตามแม้ว่าครอบครัวของเจฟและตัวเจฟเอง ยอมรับการใช้กัญชา รวมทั้งพร้อมรับกับค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมก็ตามแต่ “แพทรีเซีย” ผู้ดูแลเจฟ เป็นคาทอลิค เธอบอกกับดิฉันว่า เธอจะไม่มีวันจับต้องสารมึนเมานี่ และในชั่วโมงการทำงานของเธอ เธอจะไม่มีวันใช้กัญชาเพื่อให้เจฟผ่อนคลาย เพราะเธอมองว่าเป็นยาเสพติด และเธอเลือกที่จะเห็นเจฟโกรธ โมโห หรือร้องไห้ รวมทั้งมีความสุขกับการช่วยเหลือ หากผู้ป่วยชายรายนี้เกิดอาการหด เกร็งกล้ามเนื้อ
นายธนาคารผู้ใช้กัญชาปรับอารมณ์ โน้มน้าวจิตใจลูกค้าเงินกู้
เฮนลี่ ทำงานกับธนาคารแห่งหนึ่ง เขาใช้กัญชาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น และอายุไม่ถึง 18 ปี และเขาคือ คนที่เคยติดคุกมาแล้ว 3 เดือนข้อหามีกัญชาในครอบครอง และข้อหานั้นจำกัดเสรีภาพในการใช้ชีวิตของเขาช่วงวัย 26 ปี และมันเกิดขึ้นในวันที่กัญชายังผิดกฎหมายในรัฐแอริโซน่า ระหว่างนั้นเขาทำงานเป็นพ่อครัวในร้านอาหารเล็กๆ และเมื่อออกจากเรือนจำ เขาก็มีประวัติติดอาชญากรรมติดตัว สร้างความลำบากใจแก่เขาและครอบครัวมาก เขาจึงเดินหน้าสมัครงานใหม่เป็นเซลล์แมนในผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
เฮนลี่ มีบุคลิกขี้โวยวาย เขาไม่เคยนึกฝันว่าวันหนึ่งเขาจะมาเป็นเซลล์แมนให้บริษัทเอกชน แต่แล้วมันก็พาเขามาไกล จนกลายเป็นอาชีพหลักและพัฒนางานขายจากผลิตภัณฑ์สุขภาพ มาเป็นสินค้าและบริการด้านอื่นๆ รวมทั้งประกัน กระทั่งมาสู่อาชีพนายธนาคารที่รายได้มหาศาล และเขายอมรับว่า ทุกครั้งที่เขาพบลูกค้า เขาต้องเสพกัญชาให้เมามากๆ เพื่อสร้างไมตรีที่ดีด้วยและป้องกันการทะเลาะกับลูกค้า เพราะด้วยบุคลิกที่ไม่น่ารัก พูดจาหยาบคาย ตะโกนเสียงดัง ลูกค้าไม่ประทับใจนัก แต่กัญชาทำให้เขาใจเย็นลงและพูดจาช้า มีความอดทนสูง ก่อนการประชุม หรือนัดพบลูกค้า เขาจึงต้องกินทั้งยาเม็ดสำเร็จรูปกัญชาและสูบกัญชาไปหลายยก
ฉันรู้จักเฮนลี่ผ่านเพื่อนร่วมชั้นเรียนแห่งหนึ่ง เขาปรากฎกายในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มในงานวันเกิดของเพื่อนสาว พร้อมด้วยขวดไวน์และกัญชาที่เขาโฆษณาว่ามันดีมาก การทำวความรู้จักกันจึงเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น และเขาคือคนสูบกัญชาที่เสียงดังที่สุดในกลุ่ม
กัญชาเพื่อสัตว์เลี้ยง สินค้าขายดีในวันชาติสหรัฐฯ
วันที่ 4 กรฏฎาคม ของทุกปี ทั่วสหรัฐฯ มีขบวนพาเหรดเฉลิมฉลองวันชาติและกลางคืนหลายพื้นที่จุดพลุเสียงดังไปทั่วทั้งเมือง หมาแมวบางตัวตื่นกลัว ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวล เจ้าของสัตว์เลี้ยงเหล่านี้จึงต้องกักตุนผลิตภัณฑ์กัญชา ตั้งแต่น้ำมัน เนยถั่ว อาหารเม็ด และของทานเล่นอื่นๆ ไว้ให้สัตว์เลี้ยงกิน เพื่อทำให้สัตว์เลี้ยงอารมณ์นิ่งขึ้น
“โฮเซ่” เจ้าของร้านกัญชา เล่าว่า สินค้าหลายชนิดหมดคลังตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม และเป็นเช่นนี้ในทุกๆ ปี อย่างไรก็ตามสินค้ากัญชาเพื่อหมา แมว มีวางจำหน่ายตลอดปี เพราะสัตว์บางตัวมีอารมณ์ก้าวร้าว รุนแรง เจ้าของจำเป็นต้องหาซื้อมาใช้ เพื่อลดความเครียดในสัตว์ แต่ช่วงวันชาติเป็นช่วงที่สินค้าขาดตลาด ผู้บริโภคความต้องการสูง
เทศกาลวันหยุดกับกัญชา
วันคริสต์มาสที่รัฐวอชิงตัน เริ่มขึ้นท่ามกลางอากาศหนาวติดลบหลายองศา นอกจากกองไฟ กองฟืน อาหารและเครื่องดื่มแล้ว ยังมีกัญชาไว้สูบกัน วันรวมญาติเป็นวันที่คนหลากหลายอาชีพมาเจอกัน และการสูบกัญชาเป็นเรื่องปกติ บางคนไม่ได้สูบเลยนานหลายเดือน ก็มาสูบเข้าสังคมกันเล็กน้อยในช่วงวันหยุด
“สกาเล็ต” บอกว่า เธอทำงานบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง งดสูบกัญชามาราว 8 เดือน เธอเลือกจะสูบจากบ้องขนาดใหญ่ แม้ฤทธิ์กัญชาจะทำให้เธอตาแดงและดูอบอุ่นขึ้น จากบุคลิกเดิม ทว่าท่าทีในการพูดจายังคงฉะฉานและตรงไปตรงมา
ขณะที่ “แอลลี่” แพทย์หญิงเชื้อสายเอเชีย ดื่มไวน์พร้อมดูดกัญชาที่สกัดเป็นน้ำมันอย่างดี โดยให้เหตุผลว่า แด่งานที่หนักทั้งปี
เทศกาลกินเลี้ยงคริสต์มาสดำเนินไปอย่างเชื่องช้า เด็กๆ ที่อายุไม่ถึงถูกจับแยกผิงไฟจากเตาอีกฝั่งหนึ่งของบ้าน ส่วนวงผู้ใหญ่จับกลุ่มกันสื่อสาร และดื่มกินตามปกติของวันครอบครัว เช้ามาคริสต์มาสจบลงด้วยดี เป็นอย่างนี้ปีแล้ว ปีเล่า
สวนกัญชากับการจ้างงานของแรงงานผิดกฎหมายในสหรัฐฯ
เรื่องเล่าของคนเอเชียในสหรัฐฯ ที่คุ้นหู คือการเดินทางไปตัดดอกกัญชาในฟาร์มใหญ่ ระยะเวลา 2-3 เดือน ชายและหญิงหลายคนเลือกทิ้งงานประจำไปรับจ้างเก็บกัญชา โดยให้เหตุผลว่า ได้เงินดีกว่างานอื่น
“เอ” บอกว่าเธอมาสหรัฐฯ ได้ 8 ปี แต่ละปีเขาขึ้นไปตัดกัญชาได้เงินนับหมื่นดอลลาร์ เป็นทางเดียวที่ทำให้เธอมีเงินเก็บก้อนใหญ่ ตัวเธอเองไม่ได้สูบกัญชา แต่ก็มีการหยิบมาฝากเพื่อนๆ ที่คบหากันบ้าน เพื่อจะได้ไม่ต้องซื้อหาในราคาที่แพง
ขณะที่ “พี่นวล” แม่บ้านจากลาวนั่งลงค่อยๆ เล็มดอกกัญชาช้าๆ ในสวนหลังบ้านเช่าหลังเล็กที่เธอและครอบครัวเช่าไว้นานกว่า 13 ปี ก่อนจะวางมันลงแล้วบอกว่า “ เหม็นมากเลย ไม่รู้คนสูบไปได้ยังไง”
พี่นวลเป็นแรงงานวัย 75 ที่เข้าสหรัฐฯ แบบผิดกฎหมาย เธอมองหาช่องทางทำกินสารพัดอย่างที่ได้เงินสด และการปลูกกัญชาหลังบ้านเพื่อจำหน่ายให้ลูกค้าที่สนิทสนมกันเป็นเรื่องปกติของเธอ โดยดอกกัญชาขายได้ในกิโลกรัมละ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
สำหรับพี่นวลคนสูบกัญชามีข้อเสียอย่างเดียว คือ เมา กลิ่นตัวแรง แต่เธอยืนยันว่า ไม่มีใครที่มีจิตหลอนรุนแรง หรือมีอารมณ์ก้าวร้าวจากกัญชาเลย เหตุผลที่ลูกค้าของเธอซื้อสินค้าจากเธอ เพราะร้านค้าขายกัญชาในสหรัฐฯ ค่อนข้างแพง น้ำมันกัญชาสกัดเพื่อการแพทย์ก็แพง กัญชาสูบเพื่อสันทนาการก็แพง ไม่กี่กรัมราคาเป็น 100 ดอลลาร์แล้ว ลูกจ้างรายวันที่เป็นแรงงานรายได้น้อยในสหรัฐฯ จึงจำเป็นต้องพึ่งสวนกัญชาหลังบ้านของเธอและมันมีพอที่จะขายในราคาที่แตกต่างตามแต่คุณภาพของสินค้า
“เราไม่มีใบอนุญาตขายและปลูกนะ จะทำก็ไม่ได้ พี่เป็นคนไม่มีเอกสารอะไรเลย ก็เอาแบบนี้แหละ ช่วยคนจนด้วย ช่วยตัวเองด้วย”
เรื่องของฉันกับการเข้าถึงกัญชาในสหรัฐฯ”
ตลอดระยะเวลาเกือบ 4 ปีที่ใช้ชีวิตในสหรัฐฯ และอาศัยอยู่ในรัฐที่เสรีกัญชา ฉันเดินเข้าออก- ร้านขายผลิตภัณฑ์กัญชาหลายครั้ง ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ตลอดคือน้ำมันนวดกัญชา แก้ปวด ส่วนกัญชาสำหรับสูบเพื่อผ่อนคลายกับครอบครัวและสหายจากห้องเรียน ที่ทำงาน ก็สูบกันบ้างตามโอกาส แต่ว่าการซื้อขายกัญชาในร้านทั่วไปที่มีใบอนุญาตถูกต้อง ทุกครั้ง เจ้าของร้านจะถามหาบัตรประชาชนหรือหลักฐานอื่นๆ ที่แสดงว่าฉันอายุ 21 ปีก่อนจะขายให้ และหากวันใดฉันลืมพกบัตรประจำตัวที่แสดงวันเดือนปีเกิด วันนั้นฉันไม่มีสิทธิซื้อขายใดๆ ทั้งสิ้นในร้านกัญชา เช่นเดียวกับร้านเหล้า
ร้านกัญชาในรัฐที่มีการเปิดเสรีให้สูบเพื่อสันทนาการและใช้ทางการแพทย์ มักมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และพนักงานขายที่มีใบอนุญาตถูกต้อง พร้อมทั้งมีความรู้ในเรื่องกัญชาอย่างดี พร้อมที่จะตอบคำถามกับลูกค้า ที่สำคัญต้องเข้าใจวิธีการใช้สินค้าที่มีส่วนผสมกัญชาอย่างถูกต้อง
ทั้งนี้ในกรณีที่เป็นเครื่องดื่มที่ปริมาณของกัญชาน้อย ไม่อาจทำให้เมามายได้ เราอาจพบได้ตามร้านขายวัตถุดิบและเครื่องดื่มทั่วไป แต่หากเกินมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด จำเป็นต้องจำหน่ายในร้านที่มีการออกใบอนุญาตเฉพาะทางเท่านั้น
ฟังความจากคนไม่เอากัญชา
แม้ว่าหลายคนจากเรื่องเล่าที่ฉันได้รู้จักนั้นจะสนับสนุนกัญชาและไม่มีใครเคยมีประสบการณ์ร้ายแรงเกี่ยวกับการเมากัญชาก็ตาม สำหรับแวดวงคนไทยแล้วนั้น บางกลุ่มยังเชื่อว่า กัญชาเป็นเรื่องสกปรก
“พี่ชาย” เป็นชื่อสมมติของเพื่อนฝูงคนไทยซึ่งทำงานในสหรัฐฯมาร่วม 10 ปี เขามักห้ามฉันทันทีเมื่อบอกว่าจะขอไปสูบกัญชาสักพัก และมักหยิบยกเรื่องศาสนาพุทธเข้ามาโยง เพื่อโน้มน้าวให้ฉันลด ละเลิก เขาให้เหตุผลว่า ศีล 5 มีเรื่องการเสพของมึนเมาและกัญชา คือ สิ่งมึนเมา นำมาซึ่งการทำลายสุขภาพและทำร้ายคนอื่น ฉันไม่รู้จะต่อต้านแนวคิดของพี่ชายอย่างไรดี ฉันได้แต่พิสูจน์ให้เห็นว่า ฉันสูบกัญชาทุกครั้งถ้าฉันไม่มีงาน และบางครั้งฉันก็ใส่ในอาหารที่เขากินไปบ้าง
ขณะที่ “พี่สาว” ชื่อสมมติอีกเช่นกันที่มักต่อต้านกัญชา และด่าคนสูบกัญชาเสมอต้นเสมอปลาย เขามักไม่บ่น ไม่พูดเวลาฉันสูบ แต่หากได้กลิ่นเขาขอแยกตัวทันที
จากที่คุยกันกับคนรู้จักทั้ง คนอเมริกัน และคนชาติอื่นๆ ฉันไม่อาจจะตัดสินได้ว่ากัญชาเป็นสิ่งที่ดี หรือร้าย และประเทศไทยควรปล่อยกัญชาเสรีอย่างไรดี แต่สิ่งเดียวที่ฉันยืนยันได้ว่า สหรัฐฯ ทำได้ดี คือ การกำหนดอายุของผู้ใช้และการจำกัดขอบเขตการซื้อขาย ที่มีความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมาย ส่วนเรื่องจะไปทำให้คนไทยยอมรับกัญชาทั้งประเทศ เป็นไปไม่ได้ เพราะท้ายที่สุดหากปล่อยกัญชาเสรี แล้วจะมีคนเชื่อและไม่เชื่อในกัญชาอยู่ดี