เมื่อวาน(6 กุมภาพันธ์) นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ รองอธิบดีกรมอุทยานฯและคณะได้ลงพื้นที่ป่าสาละวินเพื่อตรวจสอบกรณีที่มีข่าวขบวนการลักลอบตัดไม้สักจากฝั่งไทยล่องตามแม่น้ำสาละวินเข้าไปขายในเขตพม่า โดยนั่งเฮลิคอปเตอร์จากเชียงใหม่ไปลงที่ริมแม่น้ำสาละวิน บ้านแม่สามแลบ อำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งในตอนแรก ผู้บริหารระดับสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ฯและผู้บริหารอุทยานฯในพื้นที่ ได้พานายธีรภัทรเดินทางล่องทวนน้ำไปสำรวจทางเหนือด้านบ้านท่าตาฝั่ง แน่นอนว่าย่อมไม่พบความผิดปกติใดๆ เพราะย่านดังกล่าวมิใช่บริเวณที่มีปัญหา
ในตอนแรกนายธีรภัทรจึงยังเข้าใจเหมือนที่ผู้บริหารฯในพื้นที่รายงานคือไม่พบว่ามีขบวนการตัดไม้ทำลายป่าเหมือนที่เป็นข่าว แถมผู้บริหารบางคนยังโยนความเน่าเหม็นไปที่ฝั่งพม่าโดยอ้างว่าเป็นการลักลอบตัดไม้ในฝั่งนั้น
ที่น่าสนใจอีกประเด็นหนึ่งก็คือ ได้มีการรายงานว่า พบโรงเลื่อยและแปรรูปไม้ ตั้งขึ้นใหม่อยู่ในพื้นที่ฝั่งพม่าห่างจากบ้านสบเมยไปเพียง 4 กิโลเมตร ทำให้ตรงกับข้อสันนิฐานของหลายฝ่ายว่า สาเหตุการลักลอบตัดไม้ครั้งใหม่ที่รุนแรงขึ้น เพราะมีขบวนการใหญ่ทำงานกันอย่างครบวงจร
เมื่อนายธีรภัทรกลับมาถึงบ้านแม่สามแลบ และทีมข่าว 3 มิติ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เข้าไปสำรวจพบการตัดไม้ทำลายป่าในบริเวณรอยต่อระหว่างอุทยานฯและป่าสงวนโดยอยู่ในด้านใต้ของบ้านแม่สามแลบ ได้พานายธีรภัทรนั่งเฮลิคอปเตอร์ของทีมข่าวไปสำรวจบริเวณที่มีการลักลอบตัดไม้ ซึ่งอยู่ใกล้เส้นทางระหว่างแม่สามแลบ-บ้านสบเมย รองอธิบดีฯจึงถึงบางอ้อ และได้มีการสั่งการให้ดำเนินการติดตามสอบสวนในเรื่องนี้
จริงๆประเด็นการลักลอบตัดไม้สาละวินครั้งนี้ทำกันเป็นขบวนการใหญ่ ไม่แพ้กรณีฉาวโฉ่เมื่อปี 2538 เพียงแต่ครั้งนั้น เป็นการอ้างสัมปทานไม้ฝั่งพม่า แต่กลับเอาไม้ไทยไปใส่โสร่ง ขณะที่ครั้งนี้เป็นขบวนการมอดไม้ที่ลักลอบตัดในฝั่งไทยกันอย่างเอิกเกริกโดยเฉพาะในเขตป่าสงวนแห่งชาติฯ
ทั้งหมดเป็นข้อเท็จจริงที่สามารถสืบค้นได้ในพื้นที่ แค่เฉพาะตอไม้ที่โผล่เป็นหลักฐานก็มากมาย หากหน่วยงานราชการทำงานกันแบบบูรณาการ โดยเฉพาะกรมป่าไม้และกรมอุทยานฯ ซึ่งสามารถเจาะขบวนการในเชิงลึกได้อยู่แล้ว เพราะมีการลักลอบขนไม้สร้างเป็นแพขนาดเล็กล่องไปตามแม่น้ำสาละวินกันแทบทุกคืน
ในยามที่กำลังเกิดช่องว่างทางอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ตัวผู้บัญชาการสูงสุดของข้าราชการประจำคือปลัดกระทรวง ควรเป็นเสาหลักได้
อย่ามัวแต่ดูทิศทางลมการเมือง จนลืมภารกิจหลักที่ประชาชนมอบหมายให้ทำ