
สำนักข่าว Chindwin รายงานเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 ว่าเจ้าหน้าที่ทางการพม่าในเมืองท่าขี้เหล็ก ทางตะวันออกของรัฐฉาน สามารถจับยาเสพติดได้จำนวน 3 รถบรรทุก มูลค่า 8.6 พันล้านจั้ต โดยรถบรรทุกที่ใช้ขนยาเสพติดดังกล่าวไม่มีใบอนุญาต ซึ่งนับตั้งแต่รัฐประหาร ยาเสพติดในพม่ากลับมาระบาดอย่างหนักและไม่สามารถควบคุมได้แล้ว สอดคล้องกับรายงานของยูเอ็นเมื่อเดือนที่แล้ว ที่ระบุว่า การปลูกฝิ่นในพม่าเพิ่มขึ้นถึง 33 เปอร์เซ็นต์จากปีก่อนๆ ปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจในประเทศเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกษตรกรในพม่าหันกลับมาปลูกฝิ่น
สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ระบุในรายงานที่เผยแพร่เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาว่า ผลผลิตฝิ่นในพม่าเพิ่มขึ้นสูงขึ้นนับตั้งแต่มีการทำรัฐประหาร โดยการปลูกฝิ่นในพม่านั้นเพิ่มขึ้นถึง 33 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ผลผลิตฝิ่นที่เก็บเกี่ยวได้เพิ่มขึ้นกว่า 88 เปอร์เซ็นต์ในปี 2565 มีการขยายพื้นที่ปลูกฝิ่นมากขึ้นถึง 250,000 ไร่
ทั้งนี้ เจเรมี ดักลาส ตัวแทนระดับภูมิภาคของ UNODC กล่าวว่า การหยุดชะงักทางเศรษฐกิจ ความมั่นคง และธรรมาภิบาลในพม่า หลังการยึดอำนาจของกองทัพพม่าได้แปรเปลี่ยนและสร้างสภาวะที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งก็คือการปลูกฝิ่นกำลังขยายเติบโต
“เกษตรกรในพื้นที่ขัดแย้งห่างไกลทางเหนือของรัฐฉานและรัฐชายแดน ไม่มีทางเลือกมากนัก พวกเขาจึงกลับไปทำไร่ฝิ่น” เจเรมี ดักลาส กล่าว
ในรายงานของ UN ยังระบุอีกว่า เกษตรกรมีรายได้จากฝิ่นมากกว่าปีที่แล้วถึงสองเท่า ซึ่งเป็นข้อเสนอทางการเงินที่น่าสนใจในช่วงเวลาที่สังคมไม่มั่นคงและเศรษฐกิจกำลังได้รับผลกระทบจากการรัฐประหาร อย่างไรก็ตาม รายได้ที่เพิ่มขึ้นของเกษตรกรผู้ปลูกฝิ่นนั้น ไม่ได้แปลว่าคนทำไร่ฝิ่นนั้นจะได้กำไรมหาศาล เนื่องจากประเทศพม่ากำลังประสบกับภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น รวมทั้งค่าเงินที่อ่อนค่าลง และต้นทุนปุ๋ย เชื้อเพลิง รวมไปถึงค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน
ขณะที่พื้นที่มีการปลูกฝิ่นเพิ่มขึ้นมากที่สุด ได้แก่ รัฐฉาน ซึ่งเพิ่มขึ้น 39 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาคือรัฐชิน เพิ่มขึ้น 14 เปอร์เซ็นต์ รัฐกะยาเพิ่มขึ้น 11 เปอร์เซ็นต์ และรัฐคะฉิ่นเพิ่มขึ้น 3 เปอร์เซ็นต์ โดยรัฐฉานยังคงเป็นรัฐที่ปลูกฝิ่นรายใหญ่ในพม่า ตามข้อมูลของยูเอ็นคิดเป็นประมาณ 84 เปอร์เซ็นต์ของการปลูกฝิ่นโดยรวมของประเทศ ซึ่งการเพาะปลูกฝิ่นในรัฐฉานนั้นกระจายอยู่ในพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้และภาคใต้ตามแนวชายแดนที่ติดกับประเทศไทย มีการตรวจพบพื้นที่เพาะปลูกฝิ่นหนาแน่นสูงตามภูเขาทางตะวันออกเฉียงใต้ที่มีพรมแดนติดกับเขตพื้นที่ของกองทัพว้า
ขณะเดียวกันมีการเพาะปลูกฝิ่นจำนวนมากในพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐคะฉิ่น และพื้นที่ทางตะวันออกของเมืองมิตจีนา ถัดจากเขตแดนระหว่างประเทศกับจีน ขณะที่รัฐชินเอง มีการปลูกฝิ่นอย่างหนาแน่นบนภูเขาทางตอนเหนือของเมืองตนซาง ใกล้กับชายแดนอินเดีย
ทางด้าน Benedikt Hofmann เจ้าหน้าที่ UNODC ประจำพม่ากล่าวว่า “ท้ายที่สุดแล้ว การปลูกฝิ่นเป็นเรื่องของเศรษฐกิจจริงๆ และไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการทำลายต้นฝิ่น ซึ่งมีแต่จะเพิ่มความเปราะบาง หากปราศจากเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและไม่มีทางเลือกอื่น มีแนวโน้มว่าการปลูกและการผลิตฝิ่นในพม่าจะยังคงขยายตัวต่อไป” เขากล่าว
ก่อนหน้านี้ ธนาคารโลกได้ออกมาเปิดเผยว่า เศรษฐกิจของเมียนมาหดตัวไป 18% ในปี 2564 และภาวะความยากจนของผู้คนในพม่าก็พุ่งสูงขึ้น ทำให้ประชากรในพม่าราว 40% ต้องอยู่ใต้เส้นความยากจนแห่งชาติ
ที่มา https://www.aljazeera.com/news/2023/1/26/opium-cultivation-surges-since-myanmar-military-seized-power-un?fbclid=IwAR3XWLYtnLLSYLMte4_Hdt45YJzsEcZMLKgFBOWSPka————-/