Search

เขื่อนแม่น้ำโขงในมุมมองของ  “สฤณี อาชวานันทกุล”

เพียงไม่ถึง 2 สัปดาห์ภายหลังจากได้รัฐบาลชุดใหม่ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)และ Pak Beng Power Company Limited ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท กัลฟ์  เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จ ากัด (มหาชน) และ China Datang Overseas Investment Co.,Ltd.(CDTO) ก็ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement-PPA) ในโครงการเขื่อนปากแบง ซึ่งกั้นแม่น้ำโขง ที่เมืองปากแบง สปป.ลาว ห่างจากชายแดนไทยด้าน อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย ราว 97 กิโลเมตร สร้างความฉงนให้กับผู้ที่ติดตามสถานการณ์แม่น้ำโขงด้วยความเป็นห่วงอย่างยิ่ง เนื่องจากคำถามต่างๆ ที่ชาวบ้านต้องการคำตอบ ยังไม่เคยมีหน่วยงานใดอธิบายให้ชุมชนได้รับรู้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพื้นที่ของประเทศไทยที่จะต้องสูญเสียไป เรื่องปริมาณน้ำเท้อจะสูงขึ้นขนาดไหน รวมถึงผลกระทบอีกมากมายที่เกิดขึ้นกับชาวบ้านริมแม่น้ำโขง รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศ

ปัจจุบันแม่น้ำโขงตอนล่างมีเขื่อนที่ใช้งานแล้ว 2 แห่งคือเขื่อนไซยะบุรี และเขื่อนดอนสะโฮง แต่มีอีก 3 โครงการเขื่อนยักษ์ที่เพิ่งได้ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า คือเขื่อนปากแบง เขื่อนหลวงพระบาง และเขื่อนปากลาย นอกจากนี้ยังมีอีก 4 โครงการที่กำลังจ่อตามมาคือเขื่อนสะนะคาม เขื่อนปากชม เขื่อนบ้านกุ่ม(สาละวัน) และภูงอย โดยทั้งหมดเป็นทุนใหญ่สัญชาติไทยที่เข้าไปจับจองพื้นที่และแปลงแม่น้ำโขงเป็นสินค้า

ในขณะที่เสียงของคนริมแม่น้ำโขงที่พยายามตะโกนถึงความเดือดร้อนที่ได้รับจากเขื่อน ไม่สามารถทัดทานพลังอันยิ่งใหญ่จากทุนใหญ่เหล่านี้ได้เพราะเป็นที่รับรู้กันดีว่ามีความแนบแน่นอยู่กับรัฐบาล ชาวบ้านเหล่านี้จึงเหมือนถูกปิดประตูตีแมว เพราะมองหาทางออกแทบไม่เจอ

สฤณี อาชวานันทกุล หัวหน้าทีมวิจัยแนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย (Fair Finance Thailand-FFT) ซึ่งติดตามเรื่องความโปร่งใสในโครงการเขื่อนแม่น้ำโขงมายาวนาน ได้สะท้อนข้อข้องใจถึงสาเหตุว่าทำไมทุนใหญ่ของไทยถึงนิยมเข้าไปจับจองสัมปทานสร้างเขื่อนบนแม่น้ำโขงในประเทศลาว และธนาคารพาณิชย์ต่างก็ปล่อยสินเชื่อให้อย่างไม่ยาก

“ในฐานะที่เคยทำงานธนาคาร ดูเรื่องสินเชื่อโครงการมาก่อน โครงการเขื่อนในลักษณะนี้ ถ้าดูเฉพาะเรื่องประเด็นทางการเงิน เป็นโครงการที่ธนาคารตัดสินใจง่ายมาก เพราะลักษณะของตัวสัญญาค่อนข้างมีความชัดเจนและมั่นคงมาก ผู้ดำเนินโครงการได้รับการันตี สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวมาก 20 – 30 ปี ความเสี่ยงเดียวหลักๆ มองเฉพาะเรื่องการเงิน คือช่วงก่อสร้างเท่านั้น เช่นอาจจะเกิดปัญหาค่าใช้จ่ายสูงกว่าประมาณการ (cost overrun) หรืออาจจะเกิดเหตุขัดข้องอะไรที่ทำให้เปิดใช้งานต้องเลื่อน แต่เมื่อไรก็ตามที่เขื่อนเปิดใช้งานเชิงพาณิชย์ เรียกว่า COD (commercial operation date) เริ่มขายไฟ เป็นลักษณะของธุรกิจที่ค่อนข้างปลอดภัยและมีความมั่นคง เพราะฉะนั้นธนาคารหรือเจ้าหนี้เขาจะดูประมาณการทางการเงินปกติ เลยเป็นที่มาว่าในเมื่อมันมีความมั่นคงมากในสายตาทางการเงิน หลังจากที่เขื่อนเปิดดำเนินการแล้ว เรื่องของการเซ็นสัญญา PPA หรือว่าสัญญาการซื้อขายไฟฟ้า แทบจะเป็นเงื่อนไขหลักเลยที่ให้ความเชื่อมั่น”

อีกสาเหตุหนึ่งที่สฤณีเห็น คือธนาคารต่างรู้สึกว่าเป็นการลงทุนที่ขายไฟให้ กฟผ.ซึ่งเป็นของรัฐ ธนาคารรู้สึกว่าเป็นการสนองนโยบายรัฐ ไม่ใช่ว่าเป็นแค่เรื่องของเอกชนตัดสินใจเพียงอย่างเดียว เรียกว่าตอบโจทย์นโยบายของประเทศด้วย ทำให้ดูมีความน่าเชื่อถือ ขณะเดียวกันรัฐบาลลาวมีนโยบายการพัฒนาเป็น Battery of Asia เพราะฉะนั้นเจ้าหนี้ (ธนาคาร) ไม่ใช่แค่สนองนโยบายของประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นการช่วยเหลือประเทศลาวให้หลุดพ้นจากความยากจนซึ่งเป็นเหตุผลที่ยังคงมีอิทธิพลอยู่และใช้กันมาตั้งแต่ในอดีต เมื่อเขื่อนแรกๆ เลยที่สร้างในลาว

สฤณีบอกว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ตนคิดว่าสถานการณ์ไม่เหมือนสมัยก่อน อย่างแรกคือกลไกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission-MRC) ซึ่งสมัยก่อนไม่มี ประโยชน์อย่างหนึ่งของ MRC แม้จะไม่มีอำนาจการตัดสินใจที่จะสั่งห้ามอะไรได้ แต่อย่างน้อยที่สุดเรื่องของกระบวนการรับฟังความคิดเห็น และ Technical Review ที่ให้ผู้เชี่ยวชาญที่เชื่อว่าเป็นอิสระมาทำการประเมินในระดับยุทธศาสตร์ต่างๆ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ค่อนข้างดีและก็มีความสำคัญ เพียงแต่ข้อมูลของ MRC ไม่ค่อยไปถึงธนาคารเท่าที่ควร หรือพูดง่ายๆ MRC ก็ไม่ได้มีหน้าที่ไปคุยกับสถาบันการเงิน ก็ต้องขึ้นอยู่กับองค์กรภาคประชาสังคม

“ประจวบเหมาะกับหลายปีที่ผ่านมาสมาคมธนาคารไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ร่วมกันออก Responsible Lending Guidelines แนวปฏิบัติว่าด้วยการให้สินเชื่อที่รับผิดชอบ โดยระบุว่าโครงการที่สุ่มเสี่ยงจะมีผลกระทบสูง ธนาคารก็จะต้องมีกลไกปรึกษาหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย stakeholders เพราะฉะนั้นที่ผ่านมาการทำงานของแนวร่วมการเงินที่เป็นธรรม (FFT) ก็อาศัย guideline นี้เป็นแนวปฏิบัติที่ทุกธนาคารลงนาม เราก็อ้างอิงตัวนี้ เราขับเคลื่อนตั้งแต่สมัยโครงการเขื่อนไซยะบุรี ถึงเขื่อนหลวงพระบาง เป็นเขื่อนขนาดใหญ่ที่เข้าข่ายนี้และอาจจะส่งผลกระทบสูง ธนาคารต้องมีกลไกรับฟังเสียงของ stakeholder ของโครงการ คือพูดง่ายๆ ไม่ใช่ฟังแต่ลูกค้าธนาคาร”

เมื่อถามว่ากติกาที่เขียนไว้กับการปฏิบัติจริงทำได้แค่ไหน สฤณีกล่าวว่าในวิธีปฏิบัติจริงๆ ยังมีปัญหา พูดง่ายๆ คือตรงนี้เป็นจุดตั้งต้นที่เราอ้างอิงได้ แต่ไม่ได้มีสภาพบังคับทางกฎหมาย เป็นเหมือนกับแนวปฏิบัติโดยสมัครใจอยู่ที่ธนาคารเองด้วยว่าจะทำอะไรมากน้อยแค่ไหน

“ยกตัวอย่างกรณีเขื่อนหลวงพระบาง ซึ่งแนวร่วมการเงินฯ ได้ทำรายงานกรณีศึกษา ชื่อ time to walk the talk ความเสี่ยงทางการเงินจากการสนับสนุนหลวงพระบาง หลังจากนั้นก็มีข่าวออกมาเป็นระยะๆว่า เขาเซ็น PPA แล้ว แน่นอนว่าการเซ็น PPA ถือว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับการไปขอสินเชื่อ ถ้าธนาคารสนใจเฉพาะเรื่องแนวโน้มผลตอบแทนทางการเงินแบบที่ผ่านมา ไม่สนใจประเด็นสิทธิมนุษยชน ประเด็นผลกระทบใดๆ แนวโน้มสูงว่าเขาจะสนับสนุน เราก็เลยทำจดหมายไปถึงธนาคารขนาดใหญ่ที่คิดว่าอาจจะสนใจปล่อยกู้กับหลวงพระบาง แล้วก็ทำหนังสือไปถึงเจ้าหนี้ของเขื่อนไซยะบุรี เพราะมองว่าเป็นโครงการที่คล้ายกัน ถามธนาคารว่าธนาคารได้สนับสนุนสินเชื่อให้กับเขื่อนหลวงพระบางหรือไม่ ปรากฏว่าไม่มีธนาคารไหนตอบกลับมาเลย” สฤณีเล่าพร้อมกับเสียงหัวเราะ

“การไม่ตอบกลับก็ไม่รู้จะตีความยังไง แต่เราคิดว่าถ้าเกิดเขาไม่ปล่อยสินเชื่อ ก็ไม่มีอุปสรรคอะไรที่จะไม่บอก ถ้าปล่อยสินเชื่ออาจจะเป็นความลับ ธนาคารอาจจะมีเหตุผลคือ1.มองว่าเป็นความลับลูกค้าเพราะว่าเรื่องข้อมูลพวกนี้ปกติก็บอกไม่ได้ 2.เขาอาจจะคล้ายๆ ทราบว่าเป็นโครงการที่อาจมีความเสี่ยงสูง มีการจับตาจากภาคประชาชน”

เมื่อถามอีกว่า นอกจากเครื่องมือตัวนี้แล้ว ยังมีมาตรการอื่นอีกหรือไม่ ที่ทำให้ธนาคารหรือลูกหนี้มองเห็นคุณค่าด้านสิทธิมนุษยชนมากขึ้น สฤณีกล่าวว่า

“ธนาคารยอมรับว่าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านสังคม ด้านสิ่งแวดล้อม รู้แต่เรื่องการเงิน แน่นอน ทุกโครงการไม่มีลูกค้าคนไหนหรอกที่จะบอกธนาคารว่าไม่สนใจเรื่องผลกระทบเรื่องความเสี่ยงทางสังคม แต่ลูกค้าเวลาเสนอโครงการก็จะบอกธนาคารว่าทำตามกฎหมายทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง เรื่องของผลกระทบมีกลไกอย่าง เช่น เขื่อนปากแบงมีข่าวว่าผู้ดำเนินโครงการจะไปตั้งกองทุนเยียวยา ความท้าทายของธนาคารคือ 1 จะรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะเอาเกณฑ์ เอาข้อมูลอะไรมาประเมินว่าสิ่งที่ลูกค้าบอกนั้นใช่หรือไม่ใช่ แค่ไหน หรือความเสี่ยงมากกว่าที่ลูกค้าพูด จึงเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง ที่ผ่านมาเราพยายามนำเสนอในมุมนี้ ในเมื่อธนาคารไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ แต่ในขณะเดียวกันธนาคารก็ไม่ควรจะฟังลูกค้าฝ่ายเดียว มีการนำเสนอกรณีศึกษาต่างๆ ที่เราส่งเข้าไป หรือแม้แต่บางครั้งก็ส่งรายงานของ MRC หรือว่าจดหมายท้วงติงของ UNESCO (กรณีผลกระทบต่อเมืองมรดกโลก) เอกสารข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ถือว่าเป็นการพยายามนำเสนอข้อมูลอีกฝั่งหนึ่งให้กับธนาคารใช้ประกอบในการพิจารณาปล่อยสินเชื่อ สุดท้ายแล้วแต่ละธนาคารตัดสินใจของเขาเองอยู่ดี ว่าประเมินแล้ว อาจจะดูว่าความเสี่ยงก็ไม่น้อย แต่เขาก็คิดว่าไม่ได้เยอะมากจนถึงขั้นที่จะตัดสินใจไม่สนับสนุน สิ่งที่ภาคประชาชนต้องทำต่อ คือต้องมีการติดตามผลกระทบที่ชัดเจน เพื่อที่จะได้กลับไปบอกธนาคารว่าสิ่งที่เราเคยเตือนวันนี้เป็นผลกระทบแล้ว”

สฤณีกล่าวว่า ธนาคารมีเครื่องมืออีกชิ้นหนึ่งที่ค่อนข้างใหม่ คือหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (UN Guiding Principles on Business and Human Rights-UNGP) โดยเราพบว่าธนาคารไทยชั้นนำทุกแห่งประกาศรับหลักการนี้ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกรุงเทพ กรุงไทย ไทยพาณิชย์ กสิกรไทย ทีเอ็มบีธนชาติ เกียรตินาคิน ล่าสุดคือธนาคารทิสโก้ ก็ประกาศรับหลักการแล้ว ซึ่งเป็นหลักการมาตรฐานสากลสำหรับธุรกิจที่จะเคารพสิทธิมนุษยชน เมื่อ apply กับภาคการเงินซึ่งเป็นสถาบันที่เป็นตัวกลางอาจจะยังมีความไม่ชัดเจน ในเมื่อธนาคารไม่ได้ทำธุรกิจธนาคารแค่จัดสรรเงิน ตัวหลักการจะใช้กับธนาคารอย่างไร ที่ผ่านมามีเอกสารคำชี้แจง มีคู่มือต่างๆ จากคณะทำงาน UN Working Group on Business and Human Rights เขียนค่อนข้างชัดว่าการที่ธนาคาร สถาบันการเงินรับหลักการนี้มาแล้ว จะทำตามหลักการชี้แนะ นั่นหมายความว่าต้องเคารพสิทธิมนุษยชนในขอบเขตตัวเอง เช่น ดูแลพนักงาน คู่ค้าและชุมชนใกล้สาขา และไม่ใช่แค่นั้นแต่ต้องมองเรื่องของเงื่อนไขที่จะใช้กับลูกค้าธนาคารด้วย เพราะฉะนั้นความคาดหวังก็คือทาง Fair Finance Thailand ใช้ในการประเมินธนาคาร เราบอกเลยว่าคือธนาคารเองประกาศรับหลักการก็ได้คะแนนไปส่วนหนึ่ง แต่ถ้าจะให้ดีกว่านั้นอีก ธนาคารก็ต้องไปบอกลูกค้าด้วยว่า ลูกค้าที่มาขอสินเชื่อโดยเฉพาะโครงการที่มีความเสี่ยงสูงต้องรับหลักการ UNGP ด้วย โดยสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นคือว่าธนาคารเองอาจจะต้องเปิดกลไกรับเรื่องร้องเรียนของตัวเอง grievance mechanism ที่ไม่ใช่เฉพาะลูกค้าที่เข้ามาร้องเรียนเท่านั้น แต่ต้องเป็นใครก็ได้ stakeholder เช่น ชาวบ้านริมแม่น้ำโขงที่เขามีความกังวลว่าจะได้รับผลกระทบ หรือว่าได้รับผลกระทบแล้ว ก็ต้องสามารถเข้ามาร้องเรียน เข้ามาใช้ช่องทางของธนาคารได้ ถ้าเขารู้ข้อมูลว่าธนาคารเป็นเจ้าหนี้

เมื่อถามว่าธนาคารจะฟังเสียงชาวบ้านเพื่อนำไปประกอบการพิจารณาขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง หัวหน้าทีมวิจัยฯ กล่าวว่า เนื่องจากธนาคารไม่ได้ประกอบธุรกิจโดยตรง แค่ให้การสนับสนุนทางการเงิน ถ้ามีชุมชนมาร้องเรียน ธนาคารก็จะบอกไปร้องกับบริษัท ก็คือลูกค้า คือในอดีตเขาก็จะมองว่าธนาคารไม่เกี่ยวเพราะว่าชุมชนผู้ได้รับผลกระทบไม่ใช่ stakeholder ของธนาคาร แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคือการที่ทุกธนาคารใหญ่ๆ ประกาศรับหลักการชี้แนะ UNGP ซึ่งมีเนื้อหา 31 ข้อ ก็คงปฏิเสธไม่ได้อีกต่อไปว่าถ้าจะมี stakeholder ของลูกค้าธนาคารมาร้องเรียน ธนาคารก็คงต้องรับฟัง

“ส่วนตัวเลยมองว่ากลไกนี้ถูกใช้แค่ไหน ก็คือต้องให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียนั่นแหละไปทดสอบ ถ้ากลับมาที่เหตุผลว่าทำไมธนาคารต้องฟังชุมชน เหตุผลคือเมื่อรับหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนแล้ว ถ้าเอาตามหลักการจริงๆ คุณก็ต้องฟัง ธนาคารเองคงจะต้องมองว่าในทุกวันนี้โครงการหลายโครงการมีความซับซ้อน การฟังเสียงหลักๆ จากลูกค้าฝ่ายเดียว อาจทำให้ธนาคารประเมินความเสี่ยงไม่รอบด้าน ถ้ามีความเสี่ยงบางอย่างที่ที่ธนาคารมองไม่เห็น หรือว่าลูกค้าไม่ได้พูด หรือพูดไม่หมด จะมีความเสี่ยงที่กระทบต่อธนาคารได้เหมือนกัน เช่น ความเสี่ยงด้านชื่อเสียง สมมติว่าโครงการทำไปแล้วเกิดปัญหา เกิดผลกระทบขึ้นมาจริงๆ คนที่เดือดร้อนเขาไม่ได้รับเยียวยาธนาคารก็เสียชื่อไปด้วย ถ้าเกิดมีข้อมูลออกมาว่าเป็นผู้ที่สนับสนุนสินเชื่อ เพราะฉะนั้นความเสี่ยงเรื่องชื่อเสียงเรื่องเดียวก็เป็นเรื่องที่ใหญ่มากสำหรับธนาคาร อีกเหตุผลคือไม่ใช่แค่เป็นเรื่องว่าคุณประกาศรับหลักการด้านสิทธิมนุษยชนเป็นมาตรฐานโลก แต่เป็นเรื่องของการมีข้อมูลที่รอบด้านมากขึ้น ในการประเมินความเสี่ยงโครงการ ซึ่งอันนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อตัวธนาคารด้วย”

เมื่อถามว่าธนาคารในต่างประเทศเขายึดถือแนวปฏิบัติเรื่องการปล่อยสินและหลักการชี้แนะหรือไม่ สฤณีกล่าวว่า  ในมุมของธนาคารต่างประเทศก็เหมือนกัน ไม่ใช่มีแต่ประเทศเรา สถาบันการเงินทำธุรกิจค่อนข้าง conservative (อนุรักษ์นิยม) เขาก็จะมองตัวเองว่าเป็นตัวกลาง ไม่ได้เป็นผู้ทำธุรกิจจริงๆ แค่ปล่อยเงินกู้ หลักการชี้แนะนี้ถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่ ต้องใช้เวลาหลายปีในการสร้างความเข้าใจ

“เครื่องมือที่เขาใช้ในต่างประเทศคือสิ่งที่เรียกว่า นโยบายสินเชื่อ หรือ Credit Policy คิดว่าเป็นเครื่องมือที่ตรงไปตรงมากว่า เราก็เริ่มเห็นบางธนาคารเริ่มมีนโยบายสินเชื่อ หมายความว่าใน sector หรือว่าธุรกิจที่ธนาคารมองว่ามันมีความเสี่ยงมากกว่าปกติ เขาจะพยายามไปอ้างอิงมาตรฐานสูงๆ ที่เกี่ยวข้องมากำหนดเป็นเงื่อนไขเลยตั้งแต่ต้น เช่น hydropower หรือ การสร้างโรงไฟฟ้าผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ ถ้าไปดูนโยบายสินเชื่อของธนาคาร Standard Chartered ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่สนับสนุน แต่ว่าลูกค้าที่เข้ามาเป็น sector นี้ คุณจะต้องไปใช้มาตรฐานของ International Hydropower Association  คือสมาคมผู้ประกอบการไฟฟ้าพลังน้ำ ในเรื่องการประเมินความยั่งยืน Sustainability Assessment เขาก็จะมีมาตรฐานที่บอกว่าลูกค้า เมืองไทยเราก็เริ่มเห็นเหมือนกัน ธนาคารบางแห่ง เช่น ธนาคารทีเอ็มบีธนชาติ”

 เมื่อถามอีกว่าเคยมีธนาคารที่ปล่อยสินเชื่อแล้วปรากฏว่าธุรกิจนั้นได้สร้างปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมหรือละเมิดสิทธิมนุษยชน ถูกลงโทษบ้างหรือไม่ สฤณีกล่าวว่า ไม่มี การจะลงโทษได้แปลว่าต้องมีกติกาทางกฎหมาย ในเมื่อแบงค์ชาติยังไม่ได้มีเกณฑ์กติกาที่มีผลบังคับใช้ทางกฎหมาย ก็ไม่มีทางที่เขาจะลงโทษอยู่แล้ว แนวปฏิบัติพูดถึงก็เป็นแค่แนวปฏิบัติ แต่ความคาดหวังแบงค์ชาติให้ความสำคัญ ในบางเรื่องที่มีความสำคัญคือเห็นอยู่แล้วว่าเสี่ยงมากๆ แล้วก็ไม่น่าจะสนับสนุนเลย เช่น ถ่านหิน เราคิดว่าต่อให้แบงค์ชาติไม่ทำอะไร ธนาคารเองก็ควรจะสามารถเขียนไว้ในนโยบายสินเชื่อได้ว่าเขาจะไม่สนับสนุนกิจการแบบนี้อีก

เมื่อถามว่า 3 โครงการเขื่อนแม่น้ำโขงที่ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟไปแล้วและกำลังก่อสร้าง หรือเตรียมก่อสร้าง มีช่องทางระงับยับยั้งได้หรือไม่ หัวหน้าโครงการวิจัยฯ กล่าวว่า กรณีเขื่อนปากแบง หลวงพระบาง และเขื่อนปากลาย ส่วนตัวมองว่าจริง ๆแล้วอาจจะต้องเป็นเรื่องของกลไกทางกฎหมายหรือไม่ เพราะมีความผิดปกติอยู่พอสมควร คือถ้าเราลองเทียบกับวิธีกระบวนการที่ผ่านมา ก็ไม่ควรจะรวบรัดอะไรขนาดนี้ เช่น ร่างสัญญา PPA ต้องเอาเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่จากข่าวจะเห็นว่าทำไมที่เอาเข้า ครม.แค่ Tariff MOU ซึ่งเป็นเพียงเค้าโครงเท่านั้น ไม่ใช่ตัวร่างสัญญา อันนี้น่าไม่ถูกต้อง น่าจะมีการตั้งคำถามทางกฎหมายว่ามันลัดดขั้นตอนหรือไม่อย่างไร สำหรับทั้ง 3 เขื่อน

“สิ่งหนึ่งที่ทำได้คือเรียกร้องให้มีการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ล่าสุดคือกรณีเขื่อนปากแบง มีการตั้งข้อสังเกตว่าจริงๆ ชาวบ้านก็กังวลกันมาเป็นหลายปีมาก ตั้งแต่ปี 2557 ชาวบ้านบอกว่าตัวรายงานผลกระทบใช้ข้อมูลเก่าไม่ทันสมัย เรื่องนี้ควรมีการเอาข้อเท็จจริงมาเปิดเผยต่อสาธารณะ ถกเถียงอภิปรายกัน ทำไมมีหลายประเด็นที่เข้าร้องเรียนกมาหลายปีแล้ว แต่ทำไมเราไม่เห็นว่ามีคำตอบ จริงๆ บริษัทอาจจะตอบในรายงานแล้ว แต่เราไม่เห็น พอรู้อีกทีคือลงนาม PPA แล้ว บางอย่างที่เป็นปัญหาข้อมูลกลับหายขาด ควรทำให้เกิดความชัดเจน”

ที่ผ่านมามีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่ทุนใหญ่มีส่วนสำคัญในการกำหนดขั้วการเมืองที่จะมาเป็นรัฐบาล จึงมีคำถามว่าต้องทำอย่างไรในการทำให้เกิดความโปร่งใสและปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนมากกว่าทุนใหญ่ สฤณีกล่าวว่าหลักการชี้แนะ UNPG บริษัทไทยที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น ช.การช่าง ไม่แน่ใจว่ารับหรือยัง แต่ GULF ประกาศรับนโยบายสิทธิมนุษยชน แปลว่าผู้ที่กังวล เป็น stakeholder ได้รับผลกระทบก็ร้องเรียนบริษัทได้โดยตรงเลย ใครก็ตามที่รับหลักการชี้แนะก็แปลว่าคุณต้องทำตามหลักการ 31 ข้อ จริงๆ แล้วประเทศไทยเราเอง รัฐบาลมีแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนที่เพิ่งประกาศระยะที่สอง เรื่องการลงทุนข้ามพรมแดนเป็น 1 ใน 4 ประเด็นสำคัญ เจ้าภาพเรื่องนี้ก็คือกรมคุ้มครองสิทธิฯ กระทรวงยุติธรรม เรากำลังเกิดการลงทุนข้ามพรมแดนที่น่าจะมีความเสี่ยงสูงอยู่เต็มไปหมด แผนปฏิบัติการแผนระยะที่สอง จะเอาไปเป็นเครื่องมือช่วยอะไรได้บ้าง

“เป็นเรื่องที่ท้าทายแน่นอน เมื่อก่อนไม่มีประตูอะไรที่เราจะไปคุย แต่ว่าตอนนี้เริ่มมีประตู ธนาคารเองก็ประกาศรับหลักการ บริษัทที่เข้าไปลงทุนก็ประกาศ อย่างน้อยที่สุดเราก็ควรจะเข้าไป challenge ทดสอบกลไกเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องรอรัฐ แต่ไม่ใช่รัฐก็ไม่มีความรับผิดชอบ เรื่องนี้การท้าทายรัฐว่าเรื่องการดำเนินการตามกฎหมายแล้วหรือเปล่า อย่างข้อสังเกตว่า มีการรวบรัดขั้นตอนลงนามสัญญา PPA 3 เขื่อนหรือไม่ หลายคนเริ่มรู้สึก เขาใช้คำว่าเป็นการงุบงิบ แต่อันนี้บ่งชี้ว่าอันนี้เราอาจจะต้องไป challenge เรื่อง ขั้นตอน procedure ให้เป็นคดีความแล้วหรือเปล่า คำถามง่ายๆ ทำไมร่าง PPA ที่มาเสนอ ครม.มีแต่เรื่อง tariff MOU ทำได้ด้วยหรือ ครม.รับทราบแค่ tariff MOU แล้วต่อมาอยู่ดีๆ ก็มี PPA ลงนามกันแล้ว”

เมื่อถามว่าในการให้สัมภาษณ์หลายครั้งที่ตั้งคำถามว่าพลังงานไฟฟ้าสำรองของไทยมีเยอะมาก ทำไมต้องซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนในลาวอีก คำถามเหล่านี้เคยได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องบ้างหรือยัง สฤณีกล่าวว่า  เหตุผลที่ภาครัฐใช้คือ เขื่อนเป็นพลังงานสะอาด สอดคล้องกับนโยบาย net zero ของประเทศไทย ซึ่งอันนี้ก็ต้องระวังนิดนึง สิ่งที่เขาพูดก็อาจจะไม่ได้ผิดถ้าดูแค่เรื่องของคาร์บอน เพียงแต่เราก็ต้องตั้งคำถามว่าเราอยากเห็นพลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานสะอาดที่รับผิดชอบในทุกมิติ ไม่ใช่แค่เรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จะมีประโยชน์อะไรสมมติมีเขื่อนแล้วปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยมาก แต่กลับสร้างผลกระทบด้านอื่นๆ เยอะ

“เรื่องของไฟฟ้าสำรอง คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ (หัวเราะ) สุดท้ายก็คงต้องไปมองว่าจุดที่จะไปถกเถียงกันจริงๆ คือจุดที่เขาออกตัว national energy plan หรือว่าแผนพลังงานชาติฉบับใหม่ออกมา จะได้เห็นกันแบบชัดๆ เลยเช่นในแผน ตกลงมีเขื่อนอะไรบ้างอยู่ในนั้น พูดไปก็ไม่ได้คำตอบ แต่สังเกตว่าจะเริ่มมีคำตอบแนว ๆ ว่า เออเดี๋ยวเราจะมีการสนับสนุนอีวีรถไฟฟ้า เพราะฉะนั้นกำลังไฟสำรองต้องมาก คือเกินดีกว่า จะเริ่มเห็นเหตุผลทำนองนี้ก็ต้องไปถกเถียงกันอีก”

           

เมื่อถามว่าการที่หน่วยงานที่รับผิดชอบพยายามผลิตวาทกรรมว่าเขื่อนเป็นพลังงานสะอาด ทั้งๆที่ความจริงแล้วได้สร้างผลกระทบมากมายต่อระบบนิเวศและชุมชน ควรมีการชี้แจงให้สังคมไทยเข้าใจอย่างไร สฤณีกล่าวว่าอาจจะเป็นเพราะภาครัฐยังใช้วิธีคิดเดิม ๆ เท่าที่คุยกับผู้ประกอบการพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม หลายคนก็พูดเลยบอกว่า ถ้าอยากรู้ว่าเราแข่งขันได้แค่ไหน ราคาเราทำได้แค่ไหน ก็เลิกใช้ feed in tariff เลยก็ได้ ลองเลย

“รอบหน้าแทนที่จะตั้งราคาไว้บอกว่าโซลาร์บวกแบตเตอรี่ หน่วยละ 2.8 บาท ประกาศเลยดีไหมว่าให้ผู้ ประกอบการเสนอมาเองว่าเขาทำได้เท่าไหร่ ตราบใดที่มันยังมีราคาแบบเก๊ๆ ราคาตรึงไว้ ทำให้เราไม่เห็นความสามารถในการแข่งขันที่แท้จริง ระหว่างพลังงานหมุนเวียนกับพลังงานอื่น การตรึงราคาเอาไว้อย่างนั้น ทั้ง feed in tariff หรือ adder (ส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า) อาจจะจำเป็นในหลายปีที่แล้ว ตอนที่เราพยายามส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนให้เกิดขึ้น แต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่ใช่แล้ว ด้วยเทคโนโลยี หลายคนบอกว่าแข่งขันได้ คงต้องไปแก้ที่นโยบาย สิ่งที่ประชาชนทำได้คือก็ตั้งคำถาม เรียกร้องเลย จริงหรือที่โซลาร์บวกแบตประเทศไทย 2.80 คุณลองเปิดใหม่แล้วดูสิว่าเขาแข่งกันเท่าไหร่”

ค่าไฟฟ้าและเขื่อนแม่น้ำโขงเป็นเรื่องที่ผูกโยงกันไว้ เพราะต้นทุนที่ใช้ในการรับซื้อไฟฟ้า ไม่ว่าไฟฟ้านั้นจะได้ใช้หรือไม่ได้ใช้ แต่การแบกรับก็เป็นภาระของผู้บริโภค เช่นเดียวกับประชาชนริมแม่น้ำโขงที่ครอบครัวต้องล่มสลายเนื่องจากทรัพยากรที่เคยหาอยู่หากินมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษถูกแย่งชิงและผันเป็นเงินให้กับคนเพียงกลุ่มเดียว

วันนี้พญานาคแม่น้ำโขงถูกบั่นเป็นท่อนๆเพื่อแบ่งขาย ชาวบ้านได้แต่สวดอ้อนวอนถึงการคุ้มครองเยียวยาแม่น้ำพร้อมทั้งสาปแช่งนักแสวงหากำไรบนคราบน้ำตาของชุมชนและธรรมชาติ

สักวันหนึ่งเวรกรรมจะไล่ล่าพวกเขา

https://transbordernews.in.th/home/?p=35586: เขื่อนแม่น้ำโขงในมุมมองของ  “สฤณี อาชวานันทกุล”