เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2567 นายจาตุรนต์ ฉายแสง ส.ส.พรรคเพื่อไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเด็กไร้สัญชาติ 19 คนอายุ 5-17 ปีซึ่งมาเรียนหนังสือที่มูลนิธิบ้านครูน้ำ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย แต่ได้ไปบวชเรียนอยู่ที่วัดสว่างอารมณ์ อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี ถูกกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.)ส่งกลับจ.เชียงราย และเตรียมผลักดันออกไปยังประเทศพม่าเนื่องจากเข้าเมืองผิดกฎหมาย ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับกรณีการส่งเด็กเมียนมา 19 คนกลับประเทศ เป็นปัญหาขาดความเข้าใจ ของกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย พม. และหน่วยงานราชการ โดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการ และสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)ไม่เข้าใจ หรือมีบทบาทในการทำความเข้าใจกับหน่วยงานอื่น ๆ น้อยเกินไป
“สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ใช้กฎหมายคร่อมเลนส์ นำกฎหมายมาใช้กับเด็ก ทั้ง ๆ ที่เด็กอยู่ภายใต้การคุ้มครองของ พรบ.คุ้มครองเด็ก และ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก และสิทธิการศึกษาที่มากกว่ากฎหมาย ตม. แต่หน่วยงานคุ้มครองเด็กไม่กล้าขัด เกรงว่าจะไปขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ แต่ในความจริงการเอาเด็กออกจากโรงเรียนกลางคันเป็นเรื่องที่ผิด การผลักดันและส่งเด็กไปประเทศที่อยู่ในภาวะอันตรายร้ายแรงก็ผิด เด็กต้องได้รับการคุ้มครอง และความเป็นอยู่ที่เหมาะสมปลอดภัย ไม่ใช่ส่งกลับไปอยู่ที่มีความเสี่ยง ดังนั้นจึงเห็นว่าต้องระงับการส่งกลับประเทศไว้ก่อน แล้วหาทางให้เด็กได้เรียนจะเป็นที่ลพบุรีเหมือนเดิม หรือจะเรียนที่ไหนก็ได้” นายจาตุรนต์กล่าว
อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ดังนั้น ทาง สมช. กระทรวงศึกษาธิการ และ สตม.ต้องรับไปทำความเข้าใจกับหน่วยงานปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ สมช. และกระทรวงต่างประเทศ (กต.) ต้องเร่งหารือกับว่าจะให้เด็กเข้าประเทศได้หรือไม่อย่างไร และต้องคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน สิทธิการศึกษา การคุ้มครองเด็ก
“การดำเนินการให้เน้นการผ่อนปรนสำหรับเด็กที่เดินทางเข้ามาในประเทศแล้วที่มีทั้งถูกและผิดกฎหมาย กระทรวงศึกษาธิการก็ต้องให้การศึกษา และ สตม. ควรอนุโลมให้เขาอยู่ในประเทศไปก่อน ให้ใช้แนวทางเช่นเดียวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด ที่ไทยให้คนต่างชาติสามารถอยู่ในไทยต่อได้แม้เอกสารไม่มีหรือไม่ครบ” นายจาตุรนต์กล่าว
อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในขณะที่ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ศึกษาธิการได้มีการนำเสนอและนำเรื่องร้องเรียนจากนักวิชาการและคนที่ทำงานเกี่ยวสิทธิเด็ก คนไร้สัญชาติต่อ สมช. จน ครม.ได้เห็นชอบสิทธิการศึกษาเด็กไม่มีสัญชาติ ในวันที่ 5 ก.ค. 2548 ทำให้เด็กไร้สัญชาติ เข้าเมืองผิดกฎหมาย ได้รับการคุ้มครองจากหน่วยงานมีโอกาสทางการศึกษา และยังได้ออกเป็นมติ ครม.ที่เกี่ยวข้อง และระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการ ภายใต้ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก ตาม “แนวปฏิบัติที่ดี” การพัฒนาคุณภาพการศึกษาตามนโยบาย No Child Left Behind (NCLB) “ไม่มีเด็กคนใด ถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลัง” และออกกฎระเบียบต่อเนื่อง
ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงประเด็นเรื่องการดำเนินคดี ผอ.ไทยรัฐวิทยา 6 กรณีส่งเด็กกลับจาก จ.อ่างทองจำนวนกว่า 126 คนในเดือน ก.ค.ปีที่ผ่านมาว่า ตนได้ไปให้การเป็นพยานให้กับ ผอ.ที่ถูกดำเนินคดีอาญาและทางวินัย ด้วยหลักการได้แสดงความเห็นไปแล้ว ว่ากระทรวงศึกษาธิการไม่ควรดำเนินการสอบสวนทางวินัย แต่ควรจะชมเชยในการทำหน้าที่ ที่เป็นไปตามกฎระเบียบกติกาสากล และเห็นว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้น กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานการศึกษาพื้นฐาน สำนักปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ยังไม่เข้าใจมากพอ เป็นเรื่องน่าเสียดาย และการดำเนินเช่นนั้นต่อ ผู้บริหารโรงเรียนเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ทำให้เด็กไร้อนาคต
ส่วนประเด็นคำถามเรื่องการดำเนินการทางกฎหมายตรวจคนเข้าเมืองของ ตม. ทำให้ เครือข่ายที่ทำงานด้านเด็กเกิดความไม่มั่นใจที่จะทำงานคุ้มครองเด็ก นายจานุรนต์กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ สมช.และ กต. ต้องรีบหารือกัน กำหนดนโยบายที่ชัดเจนมากกว่านี้ สถานการณ์ชายแดนไทย-เมียนมายังจะมีการอพยพเข้ามาอีกทั้งเด็กและผู้ใหญ่อีกหลายแสนคน การจะเข้ามาหาที่เรียนเล็กน้อย และรับได้โดยง่าย ควรเตรียมการ พร้อมที่จะรับการอพยพ ที่ปัจจุบันยังถือว่าทำอย่างล่าช้า ขณะที่ควรทำให้ชัดเจน และคนทำงานจะได้ทำอย่างสบายใจ

วันเดียวกัน ที่สำนักงานมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) จ.เชียงราย องค์กรภาคประชาสังคมด้านการคุ้มครองเด็ก ประมาณ 25 คน ได้หารือสถานการณ์เด็กในบริบทการโยกย้ายถิ่นฐานในพื้นที่ จ.เชียงราย ซึ่งติดกับประเทศเพื่อนบ้าน คือ พม่า และสปป.ลาว ที่มีปัจจัยผลักให้เด็กเคลื่อนย้ายมาประเทศไทยเพื่อความอยู่รอด โอกาสทางการศึกษา และคุณภาพชีวิต โดยการดูแลคุ้มครองเด็กเป็นไปตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก การให้การศึกษาแก่เด็กที่อยู่ในแผ่นดินไทยไม่ว่าจะเป็นใคร เป็นการป้องกันปัญหาสังคมในขณะนี้และในอนาคต และเร็วๆ นี้เครือข่ายจะมีรายนงานสรุปสถานการณ์และข้อเสนอแนะกลไกการคุ้มครองเด็กแก่รัฐบาลไทย เพื่อให้เป็นการปฏิบัติที่เท่าทันสถานการณ์ที่ไม่สามารถปฏิเสธผลกระทบจากพื้นที่ประเทศเพื่อนบ้านได้
—————