จากกรณีที่ชาวบ้าน อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี จะยื่นหนังสือร้องเรียนความเดือดร้อนต่อนายกรัฐมนตรี หลังถูกเอกชนคุกคามทำลายทรัพย์สิน แต่ตลอดทั้งวันที่ผ่านมาชาวบ้านเดินทางไปรอที่รัฐสภา ทำเนียบรัฐบาล และกระทรวงมหาดไทย กลับไม่มีหน่วยงานไหนรับหนังสือเลย
เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางหนูเดือน แก้วบัวขาว กับ นางทองสา มาเลิศ ชาวบ้าน อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี เดินทางมายัง กทม.เพื่อยื่นหนังสือถึงนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้ช่วยเหลือหลังจากถูกกลุ่มเอกชนคุกคามที่ดินทำกินและทำร้ายร่างกาย โดยชาวบ้านทั้ง 2 คนปูเสื่อรอหน้าอาคารรัฐสภา เกียกกาย ตั้งแต่ 07.30 น.
อย่างไรก็ตาม ตลอดช่วงเช้าจนถึงเที่ยงวันนางหนูเดือนและนางทองสา ไม่ได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่หรือผู้เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกให้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนกับนายกรัฐมนตรีแต่อย่างใด มีเพียง รปภ.รัฐสภา เท่านั้นที่มาสอบถามว่าทั้ง 2 คนมาทำอะไร ก่อนจะแนะนำว่าหากจะยื่นให้นายกรัฐมนตรีต้องไปที่ทำเนียบรัฐบาล
นางหนูเดือน กล่าวว่า ได้นั่งรอเพื่อจะยื่นหนังสือให้กับนายกรัฐมนตรีตั้งแต่เช้าจนเที่ยง เห็นขบวนรถวิ่งเข้าออกกันหลายคัน แต่ไม่มีใครประสานให้เข้าไปยื่นหนังสือ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ รปภ.ได้มาสอบถามพร้อมทั้งแนะนำว่าหากจะยื่นหนังสือให้นายกรัฐมนตรีต้องไปที่ทำเนียบรัฐบาล นั่งรถจากเกียกกายมายังทำเนียบรัฐบาล ถ.พิษณุโลก
“ถ้าพี่ยื่นหนังสือที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ เขาก็ต้องส่งไปให้กรมที่ดินอีก พี่เคยยื่นแบบนี้มาหลายรอบแล้วก็ไม่ได้ผล หรือยื่นไปแล้วไม่ถึงมือนายกรัฐมนตรี เลยคิดว่าตอนบ่ายนี้จะเดินทางไปยังพรรคเพื่อไทย” นางหนูเดือน กล่าว
ซึ่งหลังจากรอมาตลอดทั้งวัน ผู้สื่อข่าวติดต่อกลับไปยังนางหนูเดือนเพื่อสอบถามความคืบหน้าการเดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนครั้งนี้
นางหนูเดือน กล่าวว่า ระหว่างที่นั่งรอหน้าทำเนียบรัฐบาลมีเจ้าหน้าที่มาบอกให้เข้าไปยื่นหนังสือที่ศูนย์ดำรงธรรม สำนักนายกรัฐมนตรี แต่เมื่อเข้าไปเพื่อยื่นหนังสือทางเจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรม กล่าวว่าอาจจะใช้เวลานานหากร้องเรียนที่ศูนย์ดำรงธรรม ทำเนียบรัฐบาล แนะนำให้ไปศูนย์ดำรงธรรมที่กระทรวงมหาดไทย
“ที่ศูนย์ดำรงธรรม สำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาลพี่ขอให้เขารับเรื่อง เขาก็บอกว่าถ้ายื่นตรงนี้จะช้า แค่ขอให้ลงเลขรับเรื่องเขายังไม่ลงให้เลย บอกให้ไปศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย พอพี่ไปที่กระทรวงมหาดไทย เขาก็แนะนำให้พี่ไปปรึกษาสำนักงานอัยการที่ จ.อุบลราชธานี สรุปแล้วทั้งวันไม่มีใครรับหนังสือเลย พี่ก็เลยคิดว่าจะกลับบ้าน เพราะอยู่ไปก็คงเหนื่อยเปล่าค่อยกลับมายื่นเรื่องอีกทีตอนประชุมพีมูฟ” นางหนูเดือน กล่าว
ทั้งนี้หนังสือร้องเรียนที่ชาวบ้าน อ.วารินชำราบ ตั้งใจจะยื่นให้กับนายกรัฐมนตรี มีใจความสำคัญระบุว่า กลุ่มพิทักษ์สิทธิชุมชนและที่ดินทำกิน ต.บุ่งหวาย และ ต.หนองกินเพล อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ก่อตั้งขึ้นจากการรวมตัวกันของกลุ่มชาวบ้าน 2 ตำบล ที่ได้รับความเดือดร้อนจากกรณีนายทุนออกโฉนดทับที่ทำกินและที่สาธารณะประโยชน์ ได้ร้องเรียนหน่วยงานต่างๆมาเป็นเวลาหลายสิบปี และได้ร้องเรียนกับนายกรัฐมนตรีหลายรัฐบาลที่ผ่านมา และผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีมาโดยตลอด เรื่องนายทุนออกเอกสารสิทธิทับที่ทำกินที่อยู่อาศัย และที่สาธารณะประโยชน์เนื้อที่ประมาณ 16,000 ไร่ มีชาวบ้านเดือดร้อนกว่า 10 หมู่บ้าน ที่ผ่านมามีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในระดับจังหวัดโดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีเป็นประธาน และมติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นตรงกันว่าโฉนดออกมิชอบ และให้กรมที่ดินดำเนินการตรวจสอบและเพิกถอนเอกสารสิทธิให้ชาวบ้าน เช่น มติของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ,ความเห็นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด แต่ที่ผ่านมายังไม่สามารถแก้ปัญหาให้กับชาวบ้านได้
หนังสือระบุว่า ในช่วงปี 2566 ถึงปัจจุบัน ได้มีกลุ่มเอกชนที่อ้างตัวว่าเป็นเจ้าของโฉนด เข้ามาบุกรุกแผ้วถาง ไถหน้าดิน ขุดดินไปขาย ตัดไม้ยืนต้น ทำลายผลอาสินของดิฉันทั้งสองราย ซึ่งชาวบ้านได้คัดค้านและแจ้งความมาโดยตลอด แต่ก็ไม่ได้รับการแก้ปัญหาเท่าที่ควร อีกทั้งยังถูกเอกชนดังกล่าวแจ้งความกลับด้วย และในวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมามีกลุ่มผู้อ้างโฉนด พร้อมพวก ได้เข้าทำการขยายรั้วในที่ดินนางทองสาเข้าทำประโยชน์ โดยขณะนั้นนายสมคิด มาเลิศ บุตรชายนางทองสา กำลังปรับพื้นที่เพื่อปลูกมันตามปกติวิถี จึงได้มีการโต้เถียงกันและได้รุมทำร้ายร่างกายนายสมคิดจนสลบแล้วเอาน้ำสาด พาตัวขึ้นรถและไปโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง จากนั้นเวลา 15.30น. นายสมคิดเข้าไปแจ้งความที่ สภ.ห้วยขยุง จึงขอให้ท่านดำเนินการช่วยเหลือ ดังนี้
1.ขอให้มีการลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบ และให้สั่งการ/ประสานงานเพื่อยุติการทำลาย คุกคามจากเอกชนกับเกษตรกรในพื้นที่ หรือการกระทำใดๆในพื้นที่พิพาทจนกว่าการตรวจสอบจะแล้วเสร็จเพื่อบรรเทาความเสียหายและเดือดร้อนที่กำลังเกิดขึ้นกับชาวบ้านอยู่ในขณะนี้
2.ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ เพื่อหาแนวทางแก้ไขให้กับประชาชน โดยมีผู้เชี่ยวชาญที่เป็นกลางเป็นคณะทำงาน อาทิ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ,กรมสอบสวนคดีพิเศษ และเร่งรัดสั่งการให้มีการดำเนินการของคณะทำงานเฉพาะกิจนี้โดยด่วนที่สุด
3.ขอให้ประสานไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้พิจารณารับกรณีของทั้งสองรายเป็นคดีพิเศษ