Search

สถานศึกษาชายแดนหวาด-ไม่กล้ารับเด็กไร้สัญชาติหวั่นซ้ำรอยกรณีส่งกลับเด็กไทยรัฐวิทยา 126 คนถูกส่งกลับพม่า เผยวิกฤตเด็กชายแดนทะลักเหตุเผชิญปัญหาสารพัด-ยาเสพติด-เศรษฐกิจ-ครอบครัว-ขาดเอกสาร-ถูกทำร้าย

ความคืบหน้ากรณีเด็กไร้สัญชาติ 19 คนที่ถูกส่งกลับจาก จ.ลพบุรี ไปยัง จ.เชียงราย ทั้งๆ ที่กำลังบวชเรียนอยู่ ทำให้หลายฝ่ายหวั่นเกรงว่าจะซ้ำรอยกรณีที่หน่วยงานราชการไทยร่วมกันผลักดันเด็กไร้สถานะทางทะเบียนราษฎร 126 คนจากโรงเรียนไทยรัฐวิทยา จ.อ่างทาง กลับประเทศพม่าเมื่อปี 2566 ทำให้เด็กๆ ต้องออกเรียนหนังสือกลางคันและจนถึงขณะนี้หลายคนยังไม่สามารถหาที่เรียนได้เพราะหลายโรงเรียนต่างกลัวว่าหากรับเข้าไปเรียนแล้วจะกลายเป็นปัญหา อย่างไรก็ตามขณะนี้หน่วยงานราชการต่างยืนยันว่าจะไม่มีการผลักดันเด็กไร้สัญชาติ 19 คนกลับพม่าซึ่งกำลังเกิดสงครามภายในประเทศ โดยล่าสุดคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) ได้ลงพื้นที่ จ.เชียงรายเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้

เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2567 ณ ห้องประชุมวัดพระธาตุผาเงา อ.เชียงแสน จ.เชียงราย น.ส.ศยามล ไกยูรวงศ์ กสม. พร้อม นายสุรพงษ์ กองจันทึก ผู้ทรงคุณวุฒิ กสม. และนางเตือนใจ ดีเทศน์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา จ.เชียงรายพร้อมทีมงานมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา(พชภ.) ได้ประชุมร่วมกับภาคประชาสังคม และองค์กรเอกชนที่ทำงานคุ้มครองสิทธิเด็กในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและตะเข็บชายแดนที่ติดต่อกับประเทศเมียนมา และสปป.ลาว ประกอบด้วย มูลนิธิบ้านครูน้ำ Drop In โครงการบ้านใกล้สะพาน มูลนิธิศึกษาพัฒนาประชาชนบนที่สูง มูลนิธิ Nesux mission รวมถึง ครูโรงเรียนในพื้นที่ที่ได้ดูแลเด็กไร้สัญชาติ และผู้ใหญ่บ้าน

น.ส.ศยามล กล่าวว่า เนื่องจากเห็นว่าเรื่องนักเรียนไร้สัญชาติ 19 คนเป็นเรื่องเร่งด่วน เกรงว่าจะถูกส่งกลับไปทางเมียนมา โดยวันนี้เป็นการรับฟังจากองค์กรเอกชน หรือมูลนิธิบ้านครูน้ำ ซึ่งพื้นที่ชายแดนที่มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่เข้า ๆ ออก ๆ มากน้อยอย่างไร แล้วองค์กรดำเนินการอย่างไร การจะให้ได้อักษร G อย่างไร จะดำเนินการเรื่องสถานะอย่างไร และในส่วน พม. มีกระบวนการดูแลและส่งต่ออย่างไร โดยอุปสรรคเรื่องกฎหมาย กสม. ได้ฟังจากครูและคนทำงานคุ้มครอง เพราะเราหลีกหนีสถานการณ์ไม่ได้ จึงต้องร่วมมือกันทั้งภาครัฐและภาคเอกชน 

หลังจากการรับฟังจากที่ประชุม ทาง กสม.ได้ขอเอกสารเกี่ยวกับเด็กนักเรียนทั้ง 20 คน โดยเป็นเด็กไร้สัญชาติ 19 คน  คนไทย 1 คน เพื่อจะได้รวมรวมส่งต่อไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามสอบถามสถานการณ์ของเด็กทั้งหมดเป็นรายบุคคล เป็นการทำงานร่วมกัน เพื่อคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและสิทธิเด็ก 

นายสุรพงษ์ กองจันทึก ผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านผู้ด้อยโอกาสและเด็ก คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  (กสม.) กล่าวว่า จากการรับฟังข้อมูลทั้ง 2 วันจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง และจากภาคประชาสังคมในพื้นที่ เห็นว่าทุกฝ่ายปรารถนาดีต่อเด็ก และต้องการคุ้มครองให้เด็กได้อยู่ในไทยและมีโอกาสได้เรียนหนังสือ แต่ระบบของพื้นที่ปัจจุบันเนื่องจากขาดทรัพยากรและงบประมาณทำให้เด็กมีล้นระบบที่จะรองรับได้

นายสุรพงษ์กล่าวว่า อดีตการบวชเรียนนั้น เด็กชายจะได้เรียนทั้งทางโลกและทางธรรม เป็นวิถีได้มีความรู้ และทั้งกรณีเด็กที่อ่างทองและลพบุรีไม่มีอะไรขัดต่อกฎหมาย ปัจจุบันพระเณรของไทยน้อย จึงเป็นช่องทางที่เด็กเหล่านี้จะได้สืบทอดศาสนา และตามมติ คณะรัฐมนตรี 5 กรกฎาคม 2548 เด็กทุกคนที่อยู่ประเทศสามารถเรียนได้ และเห็นว่าเป็นการลงทุนที่ต่ำที่สุด แต่ช่วยสนับสนุน กล่อมเกลา การสอนเด็กในโรงเรียน หรือสถานศึกษาทำให้พวกเขาเป็นคนที่มีคุณภาพของสังคม

“เป็นเรื่องน่าเสียดาย เป็นควาเข้าใจคลาดเคลื่อน ที่มีการตรวจสอบ การผลักดัน มีการให้สึกพระเณร เมื่อเรามองว่าการบวชพระได้บุญ การไปสึกพระสึกเณรก็เสียดายกับการสืบทอดพุทธศาสนา เป็นการกดดันเด็กเหล่านี้ ที่อยู่ในระบบที่ไม่ได้ผิดกฎหมาย” นายสุรพงษ์กล่าว 

ผู้ทรงคุณวุฒิ กสม. กล่าวว่า เมื่อเด็กได้กลับมาเชียงราย ก็ต้องได้เรียนและมีบ้านที่อบอุ่น หรือจะเป็นบ้านครูน้ำที่เคยดูแลเขาก็สามารถทำได้ โดยให้ผู้ที่มีความพร้อมที่จะดูแลคุ้มครองเด็ก  แต่ปัจจุบันยังอยู่ในกระบวนการขั้นตอนที่ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด(พมจ.)เชียงรายจะทำตามกระบวนการของเขา ในการสืบหาครอบครัว การยืนยันตัวตนเด็ก และการคัดกรองตามกระบวนการ แต่จะไม่มีการผลักดันเด็กไปสู่อันตราย ซึ่งปัจจุบันนอกจากเรื่องสิทธิเด็ก และ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก แล้ว ยังมี พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปราม การทรมานและการกระทำาให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2465 ที่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถส่งคนไปเสี่ยงนอกประเทศ หรือชายแดน ซึ่งฟังสถานการณ์แล้วชายแดนแม่สายก็มีความเสี่ยง ที่ยังมีการสู้รบภายในประเทศและรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายที่ได้เข้าร่วมประชุมรับปากว่า จะดูแลอย่างเต็มที่ โดยเมื่อเปิดเทอมก็จะหาที่เรียนให้ แม้เอกสารหรือกระบวนการยังไม่เสร็จสิ้น 

ทั้งนี้ในที่ประชุมได้มีการพูดถึงอุปสรรคการทำงานของภาคประชาสังคม และเครือข่ายที่ทำงานปกป้องสิทธิเด็ก ซึ่งผลกระทบเป็นอย่างมากตั้งแต่เกิดกรณีที่หน่วยงานราชการผลักดันเด็ก 126 คนจากโรงเรียนไทยรัฐวิทยา จ.อ่างทาง กลับประเทศพม่า พร้อมทั้งดำเนินคดีกับครูและทีมงาน ปัจจุบันทำให้การเซ็นรับรองจากผู้ใหญ่บ้านเพื่อส่งเด็กไปเข้าเรียนในสถานศึกษาทำได้ยากขึ้น เพราะผู้บริหารสถานศึกษาไม่กล้าที่จะรับเด็กเข้าเรียน จนเด็กจำนวนไม่น้อยไม่สามารถหาที่เรียนได้ และไม่มีทางเลือกจึงต้องกลับไปสู่พื้นที่อันตราย 

ในที่ประชุมยังได้ระบุว่า ปัจจุบันมีเด็กตามแนวตะเข็บชายแดนต้องประสบปัญหามากขึ้น โดยเด็กหลายคนมีสัญชาติไทยแต่ขาดเอกสาร เด็กไทยที่พ่อแม่ติดคุก ติดยาเสพติด มีปัญหาครอบครัว มีปัญหาเศรษฐกิจ เด็กขาดการดูแลและถูกทำร้าย เด็กไร้สัญชาติที่พ่อแม่ไม่สามารถดูแลได้และไม่มีโรงเรียน ไม่มีสถานพยาบาล เด็กอยู่ในพื้นที่เสี่ยงที่แหล่งผลิตยาเสพติด เสี่ยงที่จะเป็นผู้ค้ารายใหม่หรือผู้เสพรายใหม เข้าเป็นเครือข่ายยาเสพติด ดังนั้นโรงเรียนและบ้านพักที่จะดูแลเด็กปัจจุบันในตะเข็บชายแดนจึงไม่เพียงพอ เมื่อมีสถานศึกษาหรือวัดไหนมีศักยภาพ องค์กรหรือมูลนิธิ เครือข่ายภาคประชาสังคมจึงพยายามส่งต่อเพื่อให้เด็กพ้นจากความเสี่ยงในพื้นที่ที่มีรอบด้าน 

On Key

Related Posts

เหยื่อ 20 ชาติ 261 คนพ้นขุมนรก กะเหรี่ยง DKBA ส่งตัวให้ไทย ญาติสุดปลื้มขอบคุณประเทศไทย แต่อีกนับหมื่นยังถูกกักขัง ผบ.ราชมนู ชี้เป็นผลจากมาตรการ 3 ตัดบริษัทเล็กย้ายหนี-บริษัทใหญ่ลดระดับลง 50%

เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 ที่บริเวณท่าข้าม 28Read More →

ผู้นำกะเหรี่ยง DKBA แจงไม่รู้ไม่เห็นมาก่อนมีเหยื่อต่างชาติถูกบังคับเป็นสแกมเมอร์ระบุพร้อมทำตามความต้องการของรัฐบาลไทย ประสาน“กัณวีร์”ช่วยเหยื่อต่างชาติอีกนับร้อย

เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 ผู้นำกองกำลังกะเหรีRead More →

ชาวบ้านริมโขงโวย เวทีรับฟังเขื่อนสานะคามกีดกันผู้ได้รับผลกระทบ จวก สทนช.ไม่เปิดโอกาสแสดงความเห็นตรงไปตรงมา “หาญณรงค์”จี้หยุดสร้างเขื่อน-สร้างภาระให้ประชาชน

เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 ที่สวนอาหารบ่อปลา วRead More →