เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2567 ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวชายขอบลงพื้นที่ ต.บ้องตี้ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่มีชาวกะเหรี่ยงจำนวนมากหนีภัยการสู้รบจากรัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่าข้ามพรมแดนมาหาจุดพักพิงปลอดภัยในเขตประเทศไทย ภายหลังจากที่เกิดการสู้รบอย่างต่อเนื่องระหว่างกองทัพพม่าและกองกำลังฝ่ายต่อต้าน ซึ่งจากการสอบถามชาวบ้านในพื้นที่พบว่า ในช่วงปลายเดือน เม.ย.-ต้นเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา สถานการณ์ชายแดน จ.กาญจนบุรีในฝั่งพม่า มีการสู้รบรุนแรงทำให้มีผู้อพยพเข้ามาในพื้นที่ ต.บ้องตี้ ประมาณ 2,000-3,000 คน จนกระทั่งเมื่อวันที่ 10-11 พ.ค. ฝ่ายความมั่นคงไทยได้ผลักดันผู้อพยพผู้ชายจำนวนมากกว่า 1,000 คน ให้กลับออกไปจากเขตแดนของไทย และอนุญาตให้เฉพาะผู้หญิง เด็ก ผู้สูงอายุ และคนป่วยอาศัยอยู่ได้ชั่วคราวในพื้นที่ ต.บ้องตี้
ผู้สื่อข่าวได้สำรวจจุดที่ผู้อพยพเข้ามาพักพิงอาศัยอยู่ พบว่า มีการปลูกสร้างที่พักพิงยกพื้นอย่างง่ายๆ ด้วยไม้ไผ่และมุงหลังคาด้วยผ้าใบ-พลาสติกหรือสังกะสี มีเพียงของใช้ที่จำเป็นเท่านั้น ซึ่งบริเวณนี้จะมีเพิงพักอยู่ประมาณ 15-20 หลัง โดยบางหลังมีสภาพเพิ่งถูกรื้อถอนหลังจากผู้อาศัยถูกผลักดันกลับ นอกจากนี้จะมีพื้นที่พักพิงเช่นนี้อีกมากกว่า 10 จุดตลอดแนวชายแดน โดยฝ่ายความมั่นคงและชุมชนได้เข้ามาจัดการควบคุม เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อพยพหนีออกจากพื้นที่ อย่างไรก็ตามหากมีผู้ป่วยหนักก็สามารถขออนุญาตนำตัวส่งโรงพยาบาลไทรโยคได้
นางยูซานา(นามสมมุติ) อายุ 29 ปี ชาวกะเหรี่ยงจากภาคอิรวดี กล่าวว่า ตนเองหนีมาพร้อมกับสามีและลูกทั้งหมด 3 คน หมู่บ้านเดิมของตนไม่ได้อยู่ใกล้ชายแดนไทย เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่มี 100 กว่าหลังคาเรือน คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่เป็นชาวพม่า สาเหตุที่หนีมาเพราะทหารพม่าบังคับให้ผู้ชายไปเป็นทหาร สามีของตนไม่อยากเป็นทหารพม่าเพราะต้องไปรบกับคนกะเหรี่ยงด้วยกันจึงตัดสินใจหนี โดยเอาเงินเก็บจ่ายค่ารถคนละ 200,000 จ๊าด (3,500 บาท) ใช้เวลาเดินทางมาถึงชายแดนไทย 2-3 วัน และต้องจ่ายเงินให้กับทหารพม่าตามด่านบนถนนที่ผ่านมาด้วย ส่วนบางคนที่ไม่มีเงินค่ารถก็ต้องหนีออกจากหมู่บ้านไปหลบซ่อนอยู่ตามป่า
“ตอนนี้แฟนถูกผลักดันกลับไปแล้ว เป็นห่วงเขามาก ติดต่อกันไม่ได้ ไม่รู้ว่าไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน แต่คิดว่าแฟนคงไม่ได้กลับไปที่หมู่บ้านเพราะรู้ข่าวมาว่าครอบครัวเราถูกตัดชื่อออกจากหมู่บ้านแล้ว กลับไปก็ไม่ปลอดภัย ไม่มีบ้านให้กลับไป” นางยูซานา กล่าว
นางยาดานา(นามสมมุติ) อายุ 31 ปี ชาวกะเหรี่ยงจากเมือง Set San ภาคอิรวดี กล่าวว่า หมู่บ้านของตนอยู่ใกล้ปากแม่น้ำ Bogale ไม่ไกลจากทะเล ตนหนีมาพร้อมพี่น้อง 3 คน ตอนนั้นเริ่มมีการสู้รบเข้ามาใกล้หมู่บ้าน ทหารพม่าก็เข้ามาบังคับให้ชาวบ้านที่อายุ 18 ปีขึ้นไป เข้าเป็นทหาร ผู้ชายให้สู้รบ ส่วนผู้หญิงให้ไปทำงานหุงข้าว ซักผ้า ทำความสะอาด หรือเป็นพยาบาล พวกตนไม่อยากเป็นทหารเพราะกลัวตาย และเห็นเพื่อนหลายคนไปเป็นทหารแล้วก็ไม่เคยได้กลับมาบ้านอีกเลย ตอนนี้อพยพมาอยู่ที่บ้องตี้ได้ 2 เดือนแล้วก็ยังไม่กล้ากลับไป เพราะถ้าถูกจับก็อาจถูกทหารพม่าลงโทษ
นางเซย่า(นามสมมุติ) ชาวกะเหรี่ยง กล่าวว่า ตนหนีมากับพร้อมกับแฟน เพราะที่หมู่บ้านอาศัยอยู่ไม่ได้ มีการยิงกับและมีเครื่องบินมาทิ้งระเบิด ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านต้องหนีตาย เพราะบ้านถูกไฟไหม้ บางบ้านถูกปล้น ถ้าไม่หนีก็ต้องตาย ผู้ชายก็ถูกจับไปเป็นทหาร ตอนนี้แฟนกับพี่ชายถูกผลักดันกลับไปแล้ว ซึ่งติดต่อกันไม่ได้เลย ไม่รู้ว่ายังปลอดภัยหรือไม่ แต่คิดว่าคงหลบอยู่ตามป่า เพราะที่หมู่บ้านยังไม่ปลอดภัย ยังกลับไปไม่ได้ในตอนนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้ชาวบ้านในพื้นที่ได้ให้ข้อมูลอีกว่า ผู้ชายที่ถูกผลักดันกลับไปส่วนใหญ่ยังไม่สามารถกลับไปยังภูมิลำเนาได้ เนื่องจากในพื้นที่ยังมีการสู้รบ และบ้านเรือถูกเผาทำลาย อีกทั้งกังวลว่าจะมีกับระเบิดฝังไว้ คาดว่าอาจจะอาศัยหลบซ่อนอยู่ตามแนวป่าบริเวณใกล้ชายแดนไทย เชื่อว่าหากสถานการณ์การสู้รบปะทุรุนแรงขึ้น ชาวบ้านเหล่านั้นก็คงไม่มีทางเลือกโดยต้องหนีตายข้ามมายังประเทศไทยอีกครั้ง นอกจากนี้สำหรับผู้อพยพที่เหลืออยู่นั้น ยังไม่รู้ว่าจะได้รับอนุญาตให้อยู่ที่บ้องตี้อีกนานแค่ไหน เพราะหากมีคำสั่งจากส่วนกลางให้ผลักดันทั้งหมด ชาวบ้านก็ต้องปฏิบัติตาม