สำนักข่าวชายขอบ
Transborder News

Search

บันทึกไว้วันน้ำท่วมใหญ่ วันที่คนเชียงรายเคว้งคว้างโดดเดี่ยว

ภาสกร จำลองราช

วันที่ 10 กันยายน 2567


16.00 น.

ผมจอดรถริมแม่น้ำกกข้างโรงเรียนเทศบาล 6 เพื่อรอรับลูก ขณะนั้นน้ำกกสีขุ่นคลัก แต่ยังอยู่ต่ำกว่าสวนสาธารณะอยู่นิดหน่อย สายน้ำที่ไหลแรงดูน่าตกใจ เชื่อว่าเป็นน้ำป่าหรือน้ำจากดอยอย่างแน่นอน เนื่องจากมีท่อนไม้ เศษไม้และกอหญ้าลอยมาอย่างต่อเนื่อง

ขณะนั้นมีรถของเทศบาลนครเชียงรายขนเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่มาติดตั้งไว้ 1 เครื่อง และมีเจ้าหน้าที่เทศบาลกำลังยืนคุยกับคนย่านนั้นเรื่องน้ำท่วมใหญ่ที่ อ.แม่สาย ซึ่งกำลังเป็นที่ตื่นตระหนกของประชาชน

ผมสอบถามเจ้าหน้าที่เทศบาลถึงสถานการณ์ของแม่น้ำกก เขาบอกว่าทางผู้ใหญ่ให้เอาเครื่องสูบน้ำมาประจำไว้สำหรับสูบน้ำจากท่อลงสู่แม่น้ำกก กรณีที่มีน้ำบนฝั่งสูงท่วมชุมชนป่าแดงซึ่งอยู่หลังโรงเรียน ท.6

ขณะที่ชาวบ้านในชุมชนป่าแดงบางคนออกมายืนดูสายน้ำกกที่ไหลแรงด้วยความกังวลโดยไม่มีใครรับรู้ว่าข้อมูลข่าวสารใดๆ ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น ได้แต่หาข่าวและไถ่ถามกันเอง แต่บางส่วนก็ได้เตรียมตัวเก็บข้าวของกันไว้บ้าง เพราะก่อนหน้านี้ที่ตอนฝนตกใหญ่ต่อเนื่องเมื่อปลายเดือนสิงหาคม  พื้นที่นี้ถูกน้ำท่วมไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่เป็นน้ำที่สูงเอ่อของแม่น้ำกก ไม่ได้ไหลรุนแรง แถวนี้นอกจากชาวบ้านแล้วยังมีหอพักนักเรียนอยู่หลายแห่ง

ชุมชนป่าแดงอยู่ในเขตเทศบาลเมืองเชียงราย อยู่ติดกับศูนย์ราชการจังหวัดเชียงราย ที่ว่าการอำเภอเมือง และองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.)

ผมยืนดูน้ำที่ไหลเชี่ยวในแม่น้ำกกด้วยความรู้สึกระทึกใจ แต่ดูเหมือนผู้บริหารระดับต่างๆ ในเชียงราย ยังไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นใดๆ

ระหว่างขับรถกลับบ้านผมยังคุยกับลูกว่า “สงสัยพรุ่งนี้หนูคงไม่ต้องไปโรงเรียน”

วันที่ 11 กันยายน

07.15 น.

ผมขับรถไปส่งลูกชายโดยใช้เส้นทางพลโยธินขาเข้าจากบ้านดู่ สังเกตเห็นรถเยอะกว่าปกติ แต่เช้านี้ก็ยังไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ จากรัฐถึงประชาชนทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้น

โรงเรียนเทศบาล 6 แจ้งประกาศหยุดเรียนตั้งแต่เช้ามืดตามคาด โดยส่งไลน์ถึงกลุ่มผู้ปกครอง ผมไม่ต้องไปส่งลูกสาว แต่ต้องส่งลูกชายเพราะโรงเรียนทั่วไปในเมืองเชียงรายยังเปิดเรียนเป็นปกติโดยเฉพาะที่อยู่ห่างจากแม่น้ำกก

ผมเลี้ยวซ้ายเข้าทางวัดฝั่งหมิ่น แต่เมื่อผ่านปากซอยชุมชนป่าแดง ขณะนั้นสถานการณ์กำลังอลหม่านเพราะชาวบ้านกำลังช่วยกันขนข้าวของออกมาบนถนน น้ำกกล้นทะลักชุมชนตั้งแต่ก่อนฟ้าสาง และรถไม่สามารถขับข้ามสะพานน้ำกกแห่งนี้ได้เพราะมีน้ำเอ่อสูงบริเวณคอสะพาน

การปิดสะพานข้ามแม่น้ำกกหน้าที่ว่าการอำเภอเมืองในเช้าวันนั้น คนเชียงรายส่วนใหญ่ที่ใช้เส้นทางนี้ต้องหาข่าวกันเอง โดยมากได้จากสื่อโซเชียล ทำให้รถจำนวนมากต้องหันหัวกลับหรือเลี้ยวไปใช้สะพานอื่น

เราตัดสินใจแจ้งทางโรงเรียนว่าลูกไม่ไปเรียนแล้ว แต่ก่อนกลับบ้านได้ชวนกันแวะขับรถไปดูน้ำบนถนนหน้าที่ว่าการอำเภอซึ่งน้ำจากแม่น้ำกกกำลังไหลบ่ามาถึงหน้าโรงเรียนเทศบาล 6 และที่ว่าการอำเภอโดยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

แม้มีแผงเห็นกั้นไม่ให้ใช้เส้นทาง แต่ปริมาณน้ำที่ยังไม่เยอะมากนัก ทำให้มีรถกระบะหลายคันวิ่งฝ่าสายน้ำได้ ขึ้นอยู่ที่การตัดสินใจของแต่ละคนเพราะไม่มีเจ้าหน้าที่หรือคนของทางการประจำจุดนี้คอยแจ้งเหตุเลย

08.40 น.

ผมกลับมาหน้าโรงเรียนเทศบาล 6 อีกครั้ง พาน้องๆ ทีมข่าว The Reporters มาด้วย เพราะเมื่อคืนรับปากกับแยม-ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ไว้ว่าจะไปส่งน้องๆ นักข่าวที่มาทำข่าวน้ำท่วมพื้นที่ อ.แม่สาย แต่พอเห็นสถานการณ์น้ำในแม่น้ำกกที่กำลังทะลักท่วม 2 ฝั่ง เลยแวะมาเก็บข่าวที่นี่ก่อน

เพียงแค่ชั่วโมงเดียว น้ำกกได้ไหลท่วมมาจนเกือบถึงสี่แยกศูนย์ราชการ ขณะที่ชุมชนป่าแดงกำลังชุลมุนโดยมีรถทหารและหน่วยงานราชการนำเรือท้องแบนมาให้การช่วยเหลือ

ขณะที่การสัญจรบนถนนเส้นศูนย์ราชการ-ฝั่งหมิ่นยังคงใช้การได้ เพียงแต่มีปริมาณน้ำเอ่อท่วมในพื้นที่ลุ่ม

เราเข้าไปสำรวจในซอยวัดฝั่งหมิ่น ขณะนั้นน้ำสูงระดับแข้ง บ้านหลังหนึ่งสมาชิกในครอบครัวกำลังช่วยกันหาแผ่นไม้ แผ่นไวนิลและกระสอบทรายมาปิดประตูบ้านเพื่อป้องกันน้ำ โดยเขาเล่าว่ามวลน้ำเริ่มเข้ามาตั้งแต่ตอนตี 5 โดยไม่มีใครแจ้งเตือนเลย

“คุณว่าน้ำจะสูงอีกมั้ย เรากั้นไว้แค่นี้จะเอาอยู่มั้ย” เขาตั้งคำถาม แต่ผมก็ตอบอะไรไม่ได้มาก เพียงแต่แจ้งตามที่รู้ว่าขณะนี้น้ำปริมาณน้ำกกแถวท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ กำลังทะลักมาจากฝั่งพม่าอีกเยอะ

ขณะที่พระกับเณรในวัดฝั่งหมิ่นกำลังช่วยกันย้ายข้าวของเพราะน้ำท่วมโรงเรียนวัดฝั่งหมิ่น

เราแวะเข้าไปอีกซอยหนึ่งเพราะต้องการเห็นภาพแม่น้ำกก โดยมีเจ้าของบ้านรายหนึ่งกำลังย้ายรถออกจากบ้านมาจอดบนถนน เขามีเรือท้องแบบไว้คอยขนของเพราะบริเวณนั้นน้ำกกเพิ่มขึ้นสูงมากจนไม่สามารถลุยไปถึงสวนสาธารณะได้แล้ว เขาใจดีให้คนพายเรือพาเราไปถ่ายภาพแม่น้ำกก

ภาพที่เราเห็นคือแม่น้ำกกกำลังได้แผ่กว้างสองฝั่งดูแล้วเวิ้งว้างราวกับทะเลสาบ ที่สำคัญคือน้ำกำลังไหลเชี่ยวมาก

ออกจากวัดฝั่งหมิ่น ตั้งใจว่าจะเข้าไปสำรวจแถวเกาะลอยในตัวเมืองเชียงราย  ลองตั้งท่าจะขับรถฝ่าสายน้ำตรงออกทางสี่แยกตีนสะพานข้ามน้ำกกถนนพหลโยธิน เพราะเป็นทางลัดดีแต่ต้องวิ่งขนานแม่น้ำ แต่วิ่งไปได้หน่อยเดียวขอหันหัวกลับดีกว่า ดูแล้วท่าจะไปไม่รอด เพราะน้ำไหลเชี่ยวและเพิ่มปริมาณเร็วมาก เลยขับรถกลับ ตั้งใจออกไปที่ถนนพหลโยธินในเส้นทางฝั่งหมิ่น-ศูนย์ราชการ แต่พอเห็นรถติดยาวเหยียดเลยขับอ้อมมาเข้าทางเส้นหน้าสนามบิน ก่อนตัดเข้าถนนกลางเวียงพอข้ามแยกตลาดบ้านใหม่

10.00 น.

ขับรถมาถึงสะพานข้ามแม่น้ำกกแห่งใหม่ที่จะข้ามไปยังสถานีตำรวจอำเภอเมือง แต่มองจากสะพานลงไปเห็นมวลน้ำกำลังเพิ่มสูงบริเวณคอสะพานฝั่งเมืองจนรถเก๋งผ่านไม่ได้แล้ว ขณะที่มอเตอร์ไซค์และรถเล็กหลายคันต่างจอดออกันอยู่เพราะยังงงๆ ไม่รู้จะทำอย่างไร จะฝ่าสายน้ำไปดีหรือเลี้ยวรถกลับ

ภาพที่ชวนสะท้อนใจหลายภาพ เช่น ครอบครัวหนึ่งลูกหลานจูงคนเฒ่าหนีน้ำอย่างรีบเร่ง บางคนช่วยกันขนข้าวของอพยพออกจากบ้าน บ้างมือหนึ่งจูงแม่มือหนึ่งจูงหมา เป็นสถานการณ์อันแสนฉุกละหุกของประชาชนโดยไม่มีหน่วยงานรัฐอยู่เคียงข้าง

หลังจากแวะถ่ายภาพเก็บข้อมูลและให้น้องนักข่าวได้รายงานสดแล้ว เราตัดสินใจขับฝ่าสายน้ำเข้าไปในเมือง

10.30 น.

เราเข้าไปยังศูนย์ช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติจังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามอาสาสมัครแรงงานข้ามชาติไปช่วยเหลือคนแถวเกาะลอย ซึ่งเวลานั้นรถกระบะยังสามารถเข้าไปขนของได้อยู่ แต่สภาพน้ำที่กำลังทะลักเข้ามาทำให้เชื่อได้ว่าปริมาณน้ำจะเพิ่มขึ้นอีกเยอะ ทำให้ประชาชนพากันอพยพและขนข้าวของออก

ชุมชนแถวเกาะลอยถือว่าเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงแห่งหนึ่งเนื่องจากเป็นพื้นที่ลุ่มอยู่ติดกับแม่น้ำกก เป็นเขตชุมชนที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น

ผมถามเจ้าของร้านแห่งหนึ่งซึ่งกำลังนั่งมองน้ำอยู่ เขาบอกว่าแบกข้าวสารขึ้นไปไว้ชั้นสองหลายกระสอบแล้ว  แต่ข้าวของที่เหลือซึ่งก็มีมูลค่าพอสมควรแต่ไม่รู้จะเอาไปเก็บที่ไหนแล้ว

ในชุมชนเกาะลอยยังมีห้องเช่าของแรงงานข้ามชาติจำนวนไม่น้อย ส่วนใหญ่เป็นอาคารชั้นเดียว ทำให้ต้องเร่งขนข้าวของออกไปไว้ข้างนอก ซึ่งอาสาสมัครเครือข่ายแรงงานข้ามชาติได้ช่วยเหลือกันดีมาก

ข้อสังเกตหนึ่งคือในหลายพื้นที่มวลน้ำกกได้ผุดขึ้นตามท่อน้ำ คลองระบายน้ำถูกย้อนศรกลายเป็นคลองส่งน้ำกกสู่พื้นที่ลุ่มบนฝั่ง

12.50 น.

ออกจากศูนย์ช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติ เราตั้งใจไป อ.แม่สาย ซึ่งมีข้อมูลส่งมาว่าสะพานข้ามน้ำกกบริเวณศาลากลางใหม่(สะพานแม่ฟ้าหลวง) ยังขับรถข้ามไปได้ แต่เมื่อขับรถไปถึงมวลน้ำได้ท่วมสวนสาธารณะที่อยู่ด้านขวามือเต็มพื้นที่แล้ว ขณะที่บริเวณสะพานเปิดให้เฉพาะรถกระบะข้ามเท่านั้น เพราะมวลน้ำกกกำลังทะลักรวดเร็วอยู่บริเวณคอสะพานด้านหน้าศาลากลาง

สถานการณ์บริเวณนี้กำลังอลหม่าน เพราะน้ำกำลังไหลเข้าพื้นที่ศาลากลาง ขณะที่ชาวบ้านต่างยืนสังเกตการณ์กันจำนวนมาก ขณะนั้นมีเจ้าหน้าที่คอยโบกรถอยู่ 1 คน

เก็บข้อมูลกันเสร็จก็รีบขึ้นรถเพราะกลัวน้ำสูงจนไปไม่ได้ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่น่าลังเลมาก มีรถเก๋ง 2-3 คันจอดอยู่ในน้ำเพราะไม่ไหนไม่ได้ ทำให้ใจคอไม่ดี และปริมาณน้ำสูงเลยระดับล้อรถปิคอัพแล้ว ผมขับลุยน้ำไปได้สักหน่อย เห็นท่าจะไม่รอด เพราะรถที่ขับสวนมาทำให้เกิดคลื่นสูงกว่าฝากระโปรงรถจึงหันหัวกลับซึ่งจุดนั้นเป็นจุดกลับรถพอดี

13.20 น.

พอหลุดจากจุดสะพานแม่ฟ้าหลวงออกมาได้ ผมรีบบึ่งรถไปยังสะพานบายพาสตะวันตก (หนองด่าน) เพราะเชื่อว่ายังเหลืออีกเพียงสะพานเดียวที่จะข้ามแม่น้ำกกไปยังอำเภอตอนบนของเชียงรายได้

ระหว่างทางสังเกตได้ว่าปริมาณน้ำในหลายจุดที่ขับรถผ่าน เช่น ชุมชนรอบวัดฮ่องลี่ กำลังไหลท่วมถนน เมื่อขับรถเลี้ยวขวาใช้ถนนบายพาสตะวันตก พอขึ้นไปบนสะพาน ภาพที่เห็นคือมวลน้ำได้เข้าท่วมคอสะพานฝั่งเหนือไว้เต็มปรี่ มีเพียงรถพ่วงหรือรถบรรทุกขนาดใหญ่เท่านั้นที่วิ่งผ่านไปได้

นั่นหมายถึงว่าสะพานข้ามแม่น้ำกกทั้ง 5 แห่งในเมืองเชียงรายไม่สามารถใช้การได้แล้ว แม้เราจะผ่านไปแค่ 4 สะพาน แต่สะพานข้ามถนนพหลโยธิน เจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่าใช้การไม่ได้แล้ว

เราเลยปักหลักทำข่าวอยู่บริเวณสะพานแห่งนี้ เพราะมีเรื่องให้ตื่นเต้นอยู่เรื่อยๆ เนื่องจากไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่เลย มีเพียงทีมตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) จากต่างถิ่นที่กำลังจะเดินทางไป อ.แม่สาย แต่เมื่อเห็นปริมาณน้ำที่ท่วมสูงบริเวณนี้จึงอยู่ให้บริการ แต่พวกเขาก็ไม่รู้ข้อมูลพื้นที่สักเท่าไหร่ ทำให้ประชาชนประเมินสถานการณ์ไม่ถูก โดยเฉพาะรถกระบะหลายคันที่ยกสูงและเชื่อมันว่าตัวเองจะผ่านไปได้

เวลาบ่าย 2 มีรถกระบุคันหนึ่งวิ่งพยายามฝ่าสายน้ำเชี่ยวข้ามไป แต่พอใกล้จุดที่น้ำท่วมสูงสุด ไม่สามารถผ่านไปได้ เขาจึงทำท่าเลี้ยวกลับ แต่การเลี้ยวทำให้ไปขวางทางน้ำ รถจึงทำท่าจะลอย โชคดีที่บริเวณนี้มีรถแทรกเตอร์จอดประจำการอยู่ 1 คันจึงเคลื่อนเข้าไปลากกลับมาได้ ขณะทีรถกระบะอีกคันหนึ่งฝ่าสายน้ำมาจากฝั่งตรงข้าม แต่ก็ไม่รอดทำให้ชาวบ้านในบริเวณนั้นต้องช่วยกันเข็นจึงพามาถึงฝั่ง

ขณะที่เด็กนักเรียนจำนวนหนึ่งต้องการกลับบ้านที่อยู่ทางตอนพื้นที่บนของเมือง เมื่อเช้าพวกเขาข้ามมาเรียนหนังสือได้ แต่เพียงไม่กี่ชั่วโมงปริมาณน้ำที่ท่วมสูงทำให้ไม่สามารถข้ามกลับไปได้ แต่โชคดีที่จุดนี้ยังมีเรือท้องแบนของ ตชด.ชุดนี้พาข้ามฟากได้ แต่ในจุดอื่นๆ ไม่ได้โชคดีเช่นนี้ ที่สำคัญคือไม่มีคำชี้แจงหรือประกาศใดๆ ของจังหวัดแจ้งให้ประชาชนได้ทราบเลย

ผู้หญิงคนหนึ่งมีท่าทีร้อนรนเพราะเธอต้องรีบไปขึ้นเครื่องบิน เธอไปมาแล้วเกือบทุกสะพาน แต่ก็ไม่สามารถข้ามได้ และเชื่อว่าสะพานข้ามแม่น้ำกกแห่งนี้ซึ่งอยู่สูงกว่าที่อื่นน่าจะผ่านได้ แต่ในที่สุดก็ข้ามไม่ได้ เธอไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะไม่มีการแจ้งข้อมูลข่าวสารใดๆ ให้เธอได้ทราบเลย

ขณะที่ชายหนุ่มคนหนึ่งจูงรถมอเตอร์ไซฝ่าสายน้ำเชี่ยวจากฝั่งตรงกันข้ามมายังสะพาน แต่น้ำที่ไหลแรงทำให้เขาดูท่าจะหมดแรง เขาผ่านจุดที่ลึกสุดมาแล้ว แต่โชคร้าย มีรถพ่วงคันหนึ่งวิ่งฝ่าสายน้ำมาด้านหลัง มวลน้ำหน้ารถได้กลายเป็นคลื่นสูงพัดทั้งคนและรถตกข้างทาง โชคดีชายหนุ่มว่ายน้ำเป็น จึงไข่วคว้าเอากิ่งไม้ไว้ได้ และเรือท้องแบนของ ตชด.ตรงเข้าไปช่วยชีวิตเขาได้อย่างหวิดหวิด ท่ามกลางทุกสายตาที่ลุ้นระทึกอยู่บนสะพาน แต่เขาก็ต้องเสียมอเตอร์ไซค์ทั้งคันไปให้กับสายน้ำ

ระหว่างนั้นมีชาวบ้านหลายคนมาร้องขอ ตชด.ให้เข้าไปช่วยเหลือญาติพี่น้องซึ่งติดอยู่บนหลังคาในชุมชนแห่งหนึ่งใกล้ลำน้ำกก แต่เรือท้องแบนของ ตชด.ไม่สามารถแล่นตามลำน้ำกกได้เพราะกระแสน้ำแรงเกินที่เครื่องเรือเล็กๆ จะสู้ไหว ขณะที่เรือใหญ่ส่วนใหญ่ถูกส่งไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ อ.แม่สาย หมดแล้ว ชาวบ้านจึงต้องหาทางออกกันเอง

17.30 น.

ยิ่งใกล้ค่ำปริมาณน้ำในแม่น้ำกกยิ่งสูงขึ้น ความมืดที่กำลังคืบคลานเข้ามา กลายเป็นความมืดมนของชาวบ้าน เพราะจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีประกาศใดๆ จากทางการ ทั้งเรื่องของสถานการณ์น้ำที่กำลังทะลักอย่างรุนแรง และคำแนะนำ ความช่วยเหลือต่างๆ

มวลน้ำกกได้ทะลักท่วมสู่วงกว้างในเมืองเชียงรายแล้ว ประชาชนในย่านการค้าขายต่างพยายามหาถุงทรายมาไว้หน้าบ้าน ต่างคนต่างต้องช่วยเหลือตัวเอง

ผมขับรถมาหาที่พัก เลือกโรงแรมเล็กๆ ที่อยู่บนที่สูงและห่างจากตัวเมือง เวลานี้โรงแรมหลายแห่งไม่มีน้ำเนื่องจากการประปาภูมิภาคเชียงรายต้องพึ่งน้ำดิบจากแม่น้ำกกเป็นหลัก เมื่อเกิดสถานการณ์น้ำท่วมรุนแรงจึงต้องประกาศระงับการจ่ายน้ำ เช่นเดียวกับไฟฟ้าได้ประกาศระงับในหลายพื้นที่ที่น้ำท่วม

ผมกลายเป็นผู้ประสบภัยอย่างไม่รู้ตัว ทั้งๆ ที่บ้านอยู่ห่างออกไปไม่กี่กิโลเมตรอีกฝั่งของลำน้ำกก

ช่วงค่ำเราได้ออกไปดูสถานการณ์ที่ห้าแยกพ่อขุน ซึ่งณะนั้นปริมาณน้ำกำลังเพิ่มสูงขึ้น บรรกาศบริเวณนี้ค่อนข้างคึกคักเพราะเจ้าหน้าที่กำลังใช้เรือเข้าไปช่วยผู้ประสบภัยตามอาคารบ้านเรือนริมแม่น้ำกก ขณะสื่อมวลชนหลายสำนักที่มาปักหลักถ่ายทอดสด เช่นเดียวกับอาสาสมัครจากต่างจังหวัดหลายแห่งได้มาจอดรถอยู่บริเวณนี้เนื่องจากตั้งใจเดินทางไปช่วยผู้ประสบภัยที่แม่สาย แต่ไปต่อไม่ได้

กว่าจะกลับโรงแรมก็ดึกดื่น คืนนี้ทั้งคืนแทบไม่ได้นอนเพราะลุ้นไปกับข้อมูลต่างๆ ทางสื่อโซเชียล แต่ไม่มีเว็บไซต์หรือสื่อออนไลน์ของทางการหน่วยงานใดมีข้อมูลที่ชัดเจนให้พึ่งพาได้เลยสำหรับชาวเชียงราย ประชาชนทั้งหมดจึงต้องพยายามหาแหล่งข้อมูลกันเอง

วันที่ 12 กันยายน

ช่วงเช้าผมตั้งใจจะหาทางกลับบ้านซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำกก เมื่อเช็คเส้นทางแล้วคงต้องอ้อมไปไกล แต่ก่อนออกจากเมืองผมแวะไปดูสถานการณ์น้ำที่สะพานข้ามแม่น้ำกกเส้นบายพาสตะวันตก (หนองด่าน) เพราะเป็นเส้นที่เข้าถึงง่ายสุด

ปริมาณน้ำกกเช้านี้สูงขึ้นกว่าเดิมมาก แม้ลดลงไปบ้างเล็กน้อยจากจุดสูงสุดเมื่อช่วงหัวรุ่ง แต่จุดนี้ก็ยังมีเรื่องให้ลุ่นอยู่เสมอ

ชายคนหนึ่งต้องการข้ามไปหาลูกเมียซึ่งอยู่แถว ต.บ้านดู่ แต่ลูกเมียมายืนรอรับอีกฟากหนึ่งแล้ว แต่วันนี้ไม่มีเรือท่องแบนของ ตชด.ไว้บริการเหมือนเมื่อวาน เขาดูลังเลในการตัดสินใจ เพราะกระแสน้ำยังคงไหลแรง แต่ในที่สุดเขาก็เลือกที่จะลุยแม่น้ำกกไปหาครอบครัว

เขาเทินกระเป๋าไว้บนหัว และเดินลุยน้ำไปเรื่อยๆ ท่ามกลางสายตาลุ้นระทึกอยู่บนฝั่ง เขาโชคดีที่ผ่านมวลน้ำไปได้

10.00 น.

ผมขับรถไปทางอำเภอเวียงชัย เพื่อใช้สะพานข้ามน้ำกกแถวพระเจ้ากือนา แต่เมื่อไปถึงไม่สามารถใช้การได้แล้ว เพราะน้ำท่วมคอสะพาน

ผมขับรถลัดเลาะเส้นทางขึ้นไปทางเหนือเรื่อยๆ ตามจุดต่างๆที่เป็นแยก มีชาวบ้านที่เป็นจิตอาสาคอยบอกเส้นทาง ในที่สุดผมสามารถข้ามแม่น้ำกกได้ที่สะพานเฉลิมพระเกียรติ 2 ในพื้นที่ อ.ดอยหลวง ใช้ระยะทางกว่า 60 กม.ในการขับอ้อมกลับบ้าน แต่ก่อนเข้าบ้านขอดูสถานการณ์น้ำแถวสนามบินแม่ฟ้าหลวงเชียงรายสักหน่อย

12.00 น.

ผมขับมาถึงแยกป่ากุ๊ก ซึ่งอยู่ติดกับสนามบินเชียงราย ขณะนั้นมวลน้ำจากแม่น้ำกกกำลังทะลักมาตามช่องทางต่างๆ รอบสนามบิน โดยปริมาณน้ำที่แยกป่ากุ๊กกำลังเพิ่มสูงจนรถเก๋งไม่สามารถผ่านได้

ผมเลี้ยวซ้ายอ้อมไปยังถนนด้านหลังสนามบิน น้ำเต็มปริ่มในคลองด้านซ้าย และท่วมชุมชนป่ากุ๊กมาตั้งแต่เมื่อคืน

ถนนรอบสนามบินกลายเป็นเขื่อนที่กั้นน้ำไม่ให้เข้าไปยังสนามบิน แต่น้ำที่ปริ่มทำให้หลายจุดล้นเข้าสนามบิน แต่ยังอยู่ในพื้นที่ราบลุ่มรอบนอกรันเวย์

ชาวบ้านเล่าว่าปริมาณน้ำมหาศาลได้เข้ามาตอนดึกโดยไม่มีใครแจ้งเตือนใดๆ ขณะที่เจ้าหน้าที่ในสนามบินพยายามสูบน้ำออกมา ทำให้ซ้ำเติมสถานการณ์ของชาวบ้าน แต่ไม่มีใครมีเวลาโวยวายเพราะต้องเร่งกู้บ้านตัวเองก่อน

เมื่อขับรถไปเกือบถึงถนนเข้าศูนย์ราชการ มีกำแพงน้ำสูงทำให้ต้องเลี้ยวขวาเข้าประตูหลังของสนามบิน โดยตลอดเส้นทางภายในที่มุ่งไปด้านหน้าสนามบินมีปริมาณน้ำไหลแรงกำลังข้ามถนน

ผมขับรถไปถึงด้านหน้าสนามบิน มวลน้ำมหาศาลกำลังทะลักเข้าประตูหน้าสนามบิน มีรถปิคอัพฝ่าสายน้ำไปได้แต่ค่อนข้างลำบาก

ที่บริเวณด้านหน้าอาคารผู้โดยสาร การท่าอากาศยานฯ กำลังใช้รถหกล้อขนาดใหญ่ขนผู้โดยสารที่เพิ่งลงเครื่องไปส่งที่ห้างบิ๊กซี 2 ส่วนด้านในตัวอาคารผู้โดยสารร้านค้าต่างๆ ปิดหมดแล้ว บรรยากาศค่อนข้างสลัวเพราะไฟฟ้าถูกปิด เนื่องจากเกรงว่ามวลน้ำที่กำลังท่วมจะส่งผลกระทบ

ผมคุยกับผู้โดยสารหลายคนที่กำลังรอรถคันใหม่มารับ พวกเขาบอกว่ายังรู้สึกมึนงงในสถานการณ์ แม้ก่อนขึ้นเครื่องได้รับรู้ข่าวสารว่าเกิดน้ำท่วมในจังหวัดเชียงราย แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าต้องผมเผชิญกับหนักกว่าที่คิด และรู้สึกเป็นห่วงคนที่จะมารับว่าจะฝ่าสายน้ำได้หรือไม่ ทุกคนแทบไม่รู้เลยว่าสถานการณ์น้ำจะรุนแรงขนาดนี้

จะดีกว่าหรือไม่ถ้าการท่าอาการศยานฯ มีคำชี้แจงและมีการวางแผนบริหารจัดการที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่เพียงแค่ชี้แจงว่า สนามบินยังใช้การได้ แต่สายการบินต่างๆ งดบินกันหมดแล้ว ทำให้ผู้โดยสารและผู้ที่เกี่ยวข้องแทบไม่รู้เลยว่าเกิด “ความเสี่ยง” อะไรขึ้นบริเวณโดยรอบสนามบิน

13.13 น.

ผมขับรถออกจากสนามบินเชียงราย กำลังสับสนว่าจะออกประตูไหนดี ถามเจ้าหน้าที่เขาก็ตอบแบบไม่แน่ใจ ผมขับวนไปที่ประตูด่านหน้า ประเมินแล้วไม่ไหวแน่เพราะน้ำไหลแรงมากแถมเพิ่มสูงอย่างรวดเร็วดูจากรถหกล้อคันหน้าที่วิ่งไป รถปิคอัพของผมคงไม่ไหวแน่ เลยวนกลับวิ่งถนนในสนามบินไปใช้ประตูด้านข้างฟากที่ออกไปทางศูนย์ราชการ

เมื่อออกจากสนามบินวิ่งไปกลับรถบริเวณสี่แยกศูนย์ราชการ แต่พอวิ่งไปได้นิดเดียวต้องรีบกลับรถเพราะปริมาณน้ำในเลนนี้สูงมาก แต่เห็นรถบางคันใช้วิธีวิ่งสวนเลน เพราะเกาะกลางถนนช่วยกั้นน้ำไว้ได้ทำให้อีกซีกหนึ่งของถนนมีปริมาณน้ำน้อยกว่า ที่สำคัญในยามนี้แทบไม่มีรถวิ่งบนถนนแล้ว ผมจึงตัดสินใจวิ่งตามไปจนถึงสี่แยกหน้าสนามบิน

ถึงตอนนี้คิดว่าคงถอยไปไหนไม่ได้แล้ว เพราะมวลน้ำได้ล้อมไว้เกือบทุกทิศ หากหันหลังกลับก็กลัวว่าจะไม่ทันการ เลยตัดสินใจเลี้ยวซ้ายข้ามแยกมุ่งหน้าไปทางบิ๊กซี 2 โดยวิ่งในเลนซ้ายปกติ แต่ผมคิดไปถนัด เพราะปริมาณน้ำจากทุ่งที่กำลังไหลข้ามถนนสูงมาก นึกโกรธตัวเองว่าทำไมไม่วิ่งเลนสวนเหมือนเดิมเพราะถนนอีกฝั่งมีปริมาณน้ำน้อยกว่ามากเพราะเกาะกลางถนนยังทำหน้าที่เป็นเขื่อนกั้นน้ำ ทำให้ถนนสองฟากมีระดับน้ำต่างกัน

ขับรถไป ภาวนาไปขอให้ถึงจุดกลับรถโดยไว เพราะน้ำลึกสูงเกินล้อรถแล้ว ในที่สุดผมก็สามารถหักรถข้ามมาทางเลนสวนได้ ทำให้ความระทึกลดลง

แม้เกาะกลางถนนทำให้ปริมาณน้ำบนถนนในเลนสวนทางน้อยกว่า แต่น้ำก็ยังไหลแรง เมื่อไปถึงบริเวณหน้าโรงแรมทีค น้ำไหลแรงขึ้น ขณะที่มีคนกำลังขุดเจาะเกาะกลางถนนเพื่อให้น้ำระบายไปได้รวมเร็วขึ้น

ขับเลยไปอีกนิดหน่อยบริเวณนั้นกำลังอลหม่าน เนื่องจากรถหลายคันกำลังรีๆ รอๆ ว่าจะขับไปทางสนามบินดีหรือไม่ แม้จุดนั้นจะมีตำรวจอยู่ด้วย แต่แทบไม่มีใครกล้าให้คำแนะนำใดๆ ในสถานการณ์อันสับสนเช่นนี้ ไม่มีข้อมูลหรือการแจ้งจากผู้ที่รับผิดชอบเลย

ผมโชคดีกลับมาถึงบ้านได้ แต่ระหว่างทางผ่านเห็นรถหลายคันจอดจมน้ำข้างทาง เห็นบ้านเรือนจมน้ำโดยที่เจ้าของบ้านกำลังขนของอย่างรีบเร่ง

วิกฤตการณ์ของชาวเมืองเชียงรายจากภัยธรรมชาติครั้งนี้ สามารถบรรเทาให้ความเดือดร้อนให้เบาลงได้อย่างแน่นอน หากเรามีผู้บริหารมืออาชีพเข้ามาดูแลประชาชนด้วยความรับผิดชอบ แจ้งเตือนให้ทันการณ์

เมื่อตอนที่ 13 ชีวิตทีมหมูป่าติดถ้ำหลวง จังหวัดเชียงรายสร้างชื่อเสียงไปทั่วโลก โดยเฉพาะในแง่ของการบริหารจัดการจนสามารถช่วยเหลือชีวิตของผู้ประสบภัยไว้ได้อย่างอบอุ่น แต่ห่างกันแค่ 6 ปี คิดไม่ถึงว่าชีวิตผู้ประสบภัยเชียงรายกลุ่มใหญ่ต้องเคว้งคว้าง โดดเดี่ยว จนน่าใจหาย เพราะการบริหารงานที่แสนห่วยแตก

On Key

Related Posts