ในวันที่แดดร้อนจัดซึ่งชาวบ้านกะเหรี่ยงแห่งบางกลอย เดินทางร้องเรียนผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี ณ ศาลากลางจังหวัด และแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมือง เพื่ออ้อนวอนส่วนราชการไทยให้เร่งรัดตามหาตัว “บิลลี่”
พอละจี รักจงเจริญ ญาติของพวกเขาที่เป็นสมาชิกอบต.ห้วยแม่เพรียง ที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย นั้น หญิงวัย 56 ปีรายหนึ่งเดินเท้าเปล่าจ้ำอ้าวด้วยความอดทนบนพื้นคอนกรีตร้อนระอุ นางคือ โพเราะจี รักจงเจริญ แม่ของบิลลี่ ซึ่งในวันที่ชาวบ้านร่วมชูป้ายเรียกร้องความยุติธรรมให้บิลลี่ ไม่มีใครทราบว่าโพเราะจี คือ แม่ของหนุ่มนักต่อสู้ที่หายตัวไปเพราะเธอสื่อสารภาษาไทยไม่ได้
กระทั่งเช้าวันที่ 22 เมษายน 2557 นางโพเราะจี นั่งร่ำไห้ต่อหน้าสื่อมวลชนหลายสำนักที่เดินทางไปเยือนโป่งลึก -บางกลอยซึ่งเป็นบ้านเกิดของบิลลี่ นางรำพันด้วยความรู้สึกหดหู่ใจ จะเดิน จะกิน จะนอนในบ้านหรือที่ใดก็ห่วงลูกชายทุกลมหายใจ
ข้อความในใจของนางบางส่วนถูกแปลผ่านล่ามในหมู่บ้านว่า “บิลลี่ถ้าเธอไม่กลับมาบ้าน เธอรู้ไหมคนที่เสียใจที่สุด คือ แม่ บิลลี่ถ้าเธอไม่กลับมา ทุกคนจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น กลับมาเถอะนะ มาหาแม่ มาหาเมีย มาหาลูก ”
เมื่อถูกตั้งคำถามถึงการจากไปของลูกชายคนที่ 4 นางโพเราะจี บอกว่า วันที่ 17 เมษายน ที่ผ่านมา บิลลี่กลับมาบ้าน เขามาใช้ชีวิตปกติตามหน้าที่ของลูก มาเล่น มาเยี่ยมพี่น้อง แล้วก็บอกลาแม่ตามปกติ โดยข้อความสุดท้ายที่เธอคุยกับลูก คือ เธอได้ถามว่า “ออกจากบ้านบิลลี่จะไปไหน” เขาตอบสั้นๆ ว่า “ไปอุทยาน” แล้วก็ไหว้ลาแม่
แม้จะมีความผูกพันในฐานะบุพการีผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูบิลลี่มานาน หลังจากพ่อของเขาเสียชีวิต แต่หัวอกคนเป็นแม่จำเป็นต้องอวยพรลูกเสมอในในทุกครั้งที่จากลา โดยเธอบอกลูกระหว่างการกล่าวลาว่า “ไปอุทยาน ไปดีๆ นะลูก ปลอดภัยนะ”
แต่วันนี้ลูกชายของเธอหายไปนานถึง 5 วัน ชีวิตช่างมืดมนไปทุกอย่าง นางโพเราะจี จะกิน นั่ง นอน ก็รำพันถึงลูกชายทุกชั่วขณะ นางบอกว่า หากลูกชายกลับมานางจะบอกลูกชายว่า “หมู่บ้านต้องการเอ็งเสมอนะ ทำงานเพื่อคนอื่นต่อไปนะลูก ทำให้เต็มที่”
ก่อนหน้านั้นเมื่อคืนวันที่ 21 เมษายน หลังจากการเคลื่อนไหวเรียกร้องความเป็นธรรมให้บิลลี่แล้ว ได้มีข่าวร้ายอีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นในหมู่บ้าน เมื่อนายสมาน รักจงเจริญ ญาติของบิลลี่ล้มป่วยและเสียชีวิตลงด้วยอาการท้องเสียกะทันหัน ความทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็แผ่ปกคลุมบ้านโป่งลึก –บางกลอย แม้จะดูเศร้า แต่ไม่รุนแรงเท่ากับการสูญเสียบ้านเกิดเมื่อครั้งอุทยานแห่งชาติฯ เผาไล่ที่ชาวบ้านให้สิ้นไร้มุมทำกินเมื่อปี 2553
หลายคนที่เดินมาไหว้ศพ ได้ขอให้ดวงวิญญาณนายสมานช่วยคุ้มครองบิลลี่ และชาวบ้านบางกลอยให้พ้นจากภัยคุกคามของรัฐบาล โดยไม่รู้ว่าความหวังนั้นมีมากเพียงใด
“มาดี” หรือ มงคลชัย รรักจงเจริญ น้องชายวัย 26 ปีของบิลลี่ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ครอบครัวของเขามีพี่น้องทั้งหมด 8 คน บิลลี่เป็นคนที่ 4 และเขาเป็นคนที่ 6 โดยพี่น้องส่วนมากทำงานในบ้านเกิด คือบางกลอย ขณะที่บางคนก็ออกไปรับจ้างในเมือง เช่น ชะอำ บ้านลาด เมืองเพชร เพื่อหารายได้มาดำรงชีวิต หลังจากทำการเกษตรได้ผลผลิตต่ำเพราะหมู่บ้านใหม่ที่ถูกอุทยานแห่งชาติฯย้ายมานั้น ไม่เอื้อต่อการทำไร่ ทำนา
“พี่บิลลี่ เป็นคนเงียบๆ แต่จริงจังและเป็นคนมีวินัย มาเยี่ยมบ้านเสมอเดือนละ 2-3ครั้ง แม้จะเป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล แต่ก็ไม่เคยลืมทางบ้าน ทุกคนจึงรักและเป็นห่วงเขา ส่วนครอบครัวนั้น ทันทีที่แม่รู้ว่า พี่บิลลี่หายตัวไปเขาสั่งให้ผมกับพี่ๆ เดินทางไปหาพี่บิลลี่ในป่า ในภูเขาและในอุทยานฯ เมื่อพวกผมกลับมาถึงบ้านและไม่มีข่าวคราวพี่บิลลี่ เราก็ต้องตอบแม่ตรงๆ ข่าวร้ายวันนั้นทำให้แม่เอาแต่นั่งร้องไห้ และเครียดทุกวัน” มาดีเล่าถึงวันที่ข่าวร้ายมาถึงครอบครัว
บนเรือนไม้ไผ่เก่าๆ ที่บิลลี่ร่วมสร้างไว้ให้แก่ชาวกะเหรี่ยงบางกลอย ถูกใช้เป็นบ้านพักหลังใหม่ของ “ปูคออี้” ผู้เฒ่าวัย 103 ปี หลังจากบ้านเก่าผุพังลง ในบ้านหลังเล็กๆนี้ เพื่อนบ้านบอกว่าเคยเป็นยุ้งฉางเพื่อเก็บข้าวจากกองผ้าป่าข้าวเปลือกเดินทางมาถึงหมู่บ้านจากกะเหรี่ยงทั่วประเทศ บรรยากาศทุกอย่างวันนี้ดูเงียบเหงาและดูวังเวงเมื่อสมาชิกหมู่บ้านหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ต่างจากใบหน้าอันอ้างว้างของปู่คออี้ ที่แม้จะห่วงใยหลานชาย แต่ก็ต้องพยายามทำใจอดทนรอ
“บิลลี่เป็นข้าราชการ มีผู้บัญชาการนะ การที่เขาหายไปนานๆ ผู้บัญชาการเขาจะไม่เดือดร้อนเลยหรือ เขาทำงานชุมชนนะ ไม่มีใครอยากทิ้งเขาหรอก พวกเราทุกคนรักเขา บิลลี่มีความเป็นผู้นำสูงมากๆ นะ ไม่มีใครยอมหรอกกับการที่เขาหายตัวไป การหายไปครั้งนี้จะไม่มีใครช่วยเลยหรือ แต่หากเขาหายไปอย่างไม่มีวันกลับมาจริงๆ ทุกคนรู้และเข้าใจเสมอว่าเขาคือคนที่ทำเพื่อชาวบ้านมาโดยตลอด ”ผู้เฒ่ากะเหรี่ยงที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานนับร้อยปีพูดถึงหลานชาย
ยามนี้บรรยากาศในชุมชนกะเหรี่ยงบางกลอยยังปกคลุมไปด้วยความหม่นหมอง การหายตัวอย่างลึกลับของบิลลี่ เป็นเรื่องยากเกินบรรยาย ทว่าสิ่งที่เจ็บปวดอย่างลึกซึ้ง คือบุคคลที่ชาวบ้านเชื่อว่าถูกอุ้มหายไปนั้น เป็นคนที่คอยช่วยเหลือชาวกะเหรี่ยงเรื่องการต่อสู้เพื่อสิทธิทางทำกินของคนทั้งหมู่บ้าน ด้วยความรู้ความสามารถอย่างเต็มกำลัง
หากบิลลี่ไม่สามารถกลับมาได้ทันเวลาที่ศาลปกครองพิจารณาคดีเผาไล่ที่จากอุทยานแห่งชาติฯ เท่ากับว่า หนทางในการต่อสู้ในอนาคตก็เป็นเรื่องยากพอสมควร
“บิลลี่ ถ้าบิลลี่ไม่กลับมาแล้วใครละ จะเดินหน้าเป็นผู้นำคนต่อไป เราคนกะเหรี่ยงจะต้องอดอยากและถูกเอาเปรียบอย่างนี้หรือ” เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นเหมือนกับไหว้วานสายลมบอกไปถึงหนุ่มกะเหรี่ยงนักต่อสู้ของพวกเขา
——————
.