กนกวรรณ มะโนรมย์
ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยสังคมอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

ดิฉันได้เข้าร่วมเวทีกระบวนการแจ้งการปรึกษาหารือล่วงหน้าและข้อตกลง (PNPCA-Prior Notification, Prior Consultation Procedures) ภายใต้ ข้อตกลงแม่น้ำโขง พ.ศ.2538 PNPCA เขื่อนสานะคามวันที่ 22 มกราคม 2568 ที่อุบลราชธานี ที่จัดโดย สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC-Mekong River Commission) ประเด็นสำคัญที่ MRC และ สทนช. (สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ) ต้องพิจารณาอย่างยิ่งในกระบวนการทำ PNPCA มีดังนี้
ประการที่หนึ่ง MRC ต้องไม่พูดว่าเขื่อนแบบน้ำไหลผ่านทำหน้าที่เสมือนฝาย
เจ้าหน้าที่ MRC พูดกับผู้เข้าร่วมกระบวนการ PNPCA ว่าเขื่อนสานะคามคือเขื่อนแบบน้ำไหล (Run of river dam) เพราะทำหน้าเสมือนฝาย (Weir) ประเด็นนี้ต้องแก้ไขเพราะเขื่อนสานะคามที่มีขนาด 684 เมกะวัตต์ ไม่ได้ทำหน้าที่เสมือนฝายที่ใช้เพื่อการชลประทาน (ฝายสองแห่งในลุ่มน้ำมูลคือฝายหัวนาและฝายราศีไศล จังหวัดศรีสะเกษ ได้เปลี่ยนจากคำว่าฝายมาเป็นเขื่อนในภายหลัง อันเนื่องมาจากทั้งสองแห่งส่งผลกระทบต่อชุมชนและระบบนิเวศอย่างมาก) เขื่อนสานะคามจะทำหน้าที่ผลิตไฟฟ้าและจะก่อให้เกิดผลกระทบที่ตามมาอย่างรุนแรงทางอุทกวิทยา นิเวศวิทยา สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรมและวิถีชีวิต อีกทั้งเขื่อนนี้ตั้งในลำน้ำขนาดใหญ่ของภูมิภาคแม่น้ำโขงที่มีเขื่อนขนาดใหญ่ในลำน้ำตอนบนมากกว่า 10 แห่งในจีน และลำน้ำโขงตอนล่างซึ่งจะมีการสร้างเขื่อนอีก 11 แห่ง โดยเป็นเขื่อนที่ได้สร้างไปแล้ว ได้แก่ ไซยะบุรี ดอนสะโฮง และที่กำลังก่อสร้างอยู่ในปัจจุบัน คือ เขื่อนหลวงพระบาง เขื่อนทั้งหมดนี้คาดว่าจะได้สร้างผลกระทบสะสมในลำน้ำโขงซึ่งกระทบต่อวิถีชีวิตผู้คนทางตรงจำนวน 62,530 คน ทางอ้อมจำนวน 23,701,332 คน (อ้างจากข้อมูลการประเมินผลกระทบด้านสังคมและเศรษฐกิจของเขื่อนสานะคาม)
“ข้อเสนอ เวลาชี้แจงในเวที MRC จะต้องบอกว่าเขื่อนก็คือเขื่อน ไม่ใช่เขื่อนที่ทำหน้าที่คล้ายกับฝาย หรือเรียกฝายแทนเขื่อน”
ประการที่สอง ข้อมูลผลกระทบสะสมข้ามพรมแดน
จากที่เข้าฟังข้อมูลนำเสนอของทุกผ่ายทั้งด้านอุทกวิทยา ชลศาสตร์ ตะกอน ความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม ประมง และเศรษฐกิจสังคมของเขื่อนสานะคาม ดิฉันพบว่ารายงานผลกระทบด้านที่นำเสนอในเวทีแทบจะไม่เห็นข้อมูลผลกระทบสะสมข้ามพรมแดน (Transboundary Cumulative impacts) มานำเสนอให้เห็นชัดเจนและเป็นรูปธรรมแต่อย่างใด แม้ผู้แทนของ MRC ได้กล่าวชี้แจงเพื่อตอบคำถามเรื่องนี้โดยอ้างถึงการประเมินผลกระทบสะสม แต่เป็นข้อมูลรวมๆ ที่เขียนไว้ในรายงาน Council Study (CS) (การศึกษาการบริหารการจัดการและการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืนรวมถึงผลกระทบจากการพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังน้ำในแม่น้ำโขงสายประธาน) ข้อมูลที่มานำเสนอไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด เพราะในเอกสารนั้นนำเสนอเพียงแนวคิดและตัวอย่างการใช้เครื่องมือและการใช้แบบจำลองเท่านั้น
“ข้อเสนอ จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องนำเสนอผลการประเมินผลกระทบสะสมของแต่ละช่วงของลำน้ำและแต่ละเขื่อนโดยเชื่อมโยงกับเขื่อนที่สร้างมาแล้วตอนบน เขื่อนที่กำลังสร้าง และ เขื่อนที่อยู่ในแผนที่จะสร้าง”
ประการที่สาม กลไกการมีส่วนร่วมและตัวเลขผู้ให้ข้อมูลทางสังคมและเศรษฐกิจ
รายงานผลกระทบทางสังคมเศรษฐกิจมีข้ออ่อนหลายประการ เช่น ระบุวิธีการศึกษาที่ใช้แบบสำรวจเป็นหลัก ไม่ได้เน้นการวิจัยแบบมีส่วนร่วม (Participatory research) ทั้งที่กลไกการมีส่วนร่วมเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการประเมินผลกระทบทางสังคม (Social Impact Assessment – SIA) สำหรับโครงสร้างเขื่อนพลังงานไฟฟ้า ทำให้เสริมสร้างความไว้วางใจระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและผู้พัฒนาโครงการเป็นไปได้ยาก เพราะผู้ศึกษามิได้นำเสนอให้เห็นว่าข้อมูลที่นำเสนอทั้งผลกระทบและทางออกจากผลกระทบมาจากการสำรวจแต่ไม่ได้มาจากกระบวนการวิจัยแบบมีส่วนร่วม
นอกจากนี้ข้อมูลที่ถูกนำเสนอในเวทีเน้นการใช้แบบสำรวจใน 9 หมู่บ้าน 126 ครัวเรือน (จากรายงาน พบว่า มี 68 หมู่บ้านในจังหวัดเลย และ 47 หมู่บ้านในจังหวัดหนองคาย ซึ่งอยู่ใน รัศมี 15 กิโลเมตร ครอบคุลม 6 อำเภอ ได้แก่ อ อำเภอเชียงคาน อำเภอปากชม อำเภอท่าลี่ จังหวัดเลย อำเภอสังคม อำเภอโพธิ์ตาก อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย ที่มีประชากรรวมทั้งหมด 79,341 คน โดยมีหมู่บ้านที่อยู่ในระยะ 0-2 กิโลเมตร จากแม่น้ำโขง 41 หมู่บ้าน มี 11,988 ครัวเรือน ประชากร 27,490 คน หมู่บ้านใกล้พื้นที่ก่อสร้างเขื่อนที่สุดคือบ้านท่าดีหมี (อ.เชียงคาน จ.เลย) ระยะ 1.7 กิโลเมตร หมู่บ้านในระยะ 2–5 กิโลเมตรจากแม่น้ำโขง จำนวน 20 หมู่บ้านมี 4,820 ครัวเรือน ประชากร 13,234 คน และหมู่บ้านที่ใกล้พื้นที่ก่อสร้างเขื่อนที่สุด คือ บ้านนาบอน (อ.เชียงคาน จ.เลย ห่างออกไป 4.6 กิโลเมตร) รวมครัวเรือนในรัศมีเท่ากับ 16,808 ครัวเรือน
“ข้อเสนอ การเลือกศึกษาเพียง 126 ครัวเรือนจากทั้งหมด 16,808 ครัวเรือน ซึ่งคิดเป็น 0.75 % เท่านั้น และสำรวจใน 9 หมู่บ้านจำนวน 126 ครัวเรือน (สรุปว่าเฉลี่ยแล้วเก็บข้อมูลเพียง 14 ครัวเรือนในแต่ละหมู่บ้านเท่านั้น) ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับผลกระทบขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นทางอุทกวิทยา ชลศาสตร์ ตะกอน ความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม ประมง และเศรษฐกิจสังคมของเขื่อนสานะคามเพื่อทำให้เห็นข้อมูลเศรษฐกิจที่สะท้อนข้อเท็จจริงของครัวเรือนและชุมชนให้มากที่สุด ดังนั้น ควรขยายพื้นที่เก็บข้อมูลและจำนวนครัวเรือนในการประเมินเพิ่มขึ้นมากกว่า 50 % ของครัวเรือนในแต่ละชุมชนครอบคลุมกลุ่มเปราะบางทุกกลุ่ม (ผู้หญิง ผู้สูงอายุ เยาวชน คนพิการ คนไร้ที่ดิน คนที่พึ่งพิงแม่น้ำโขง กลุ่มคนรุ่นใหม่ รวมทั้งกลุ่มคนหลากหลายเพศ) เป็นต้น รวมทั้งมีข้อเสนอจากคนในชุมชนจริงๆในฐานะผู้ทรงสิทธิ์ในทรัพยากร (Rights holder) เรื่องมาตราการลดผลกระทบหรือทางออกจากผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น”
ประการที่สี่ บทบาทของ สทนช. ต้องยืนกรานทางวิชาการให้หนักแน่นมากขึ้น
สอดคลัองกับสามประเด็นข้างต้น สทนช. ต้องผลักดันให้ผู้พัฒนาโครงการต้องศึกษาข้อมูลให้ลุ่มลึก กว้างขวาง และสะท้อนผลกระทบที่แท้จริงทั้งในพื้นที่โครงการที่เกิดจากเขื่อนสานะคามและผลกระทบสะสมที่เกิดจากเขื่อนตอนบน อีกทั้งการทำการประเมินผลกระทบทางสังคมเศรษฐกิจแบบมีส่วนร่วมโดยมีจำนวนผู้ให้ข้อมูลที่มากพอในฐานะตัวแทนของพื้นที่และการสร้างพื้นที่ให้กลุ่มคนที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบมีส่วนร่วมในกระบวนการ PNPCA อย่างมีความหมาย



