Search

ยันย้ายหัวหน้าอุทยานฯ แค่1เดือนไว้ที่สบอ.3อ้างต้องให้ความเป็นธรรมกับหัวหน้าแก่งกระจานสมาพันธ์กะเหรี่ยงบุกจี้ถามปลัดทส.-รักษาการอธิบดี

IMG_27377693310861

เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2557 ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) นายจีรศักดิ์ กาตือ และนายพฤ โอ่โดเชา ตัวแทนสมาพันธ์ชาวกะเหรี่ยงแห่งสยาม ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อนายโชติ ตราชู ปลัดทส. กรณีการหายตัวไปของนายพอละจี รักจงเจริญหรือบิลลี่ แกนนำกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย และสมาชิก อบต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ซึ่งเหตุเกิดขึ้นภายหลังการจับกุมของนหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และได้หายตัวไปจนกระทั่งบัดนี้ 

นายจีรศักดิ์ กล่าวว่า จากข่าวที่ทราบว่านายชัยวัฒน์ ขอย้ายตัวเองไปอยู่พื้นที่สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่(สบอ.) 3 (บ้านโป่ง) เป็นระยะเวลา 1 เดือนนั้น ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่จะเปิดโอกาสให้กระบวนการสอบสวนเป็นไปอย่างยุติธรรมแต่อย่างใด เนื่องจาก สบอ.3 จ.ราชบุรี ที่ขอย้ายไปนั้นเป็นสำหนักงานใหญ่ที่มีหน้าที่กำกับดูแลอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานฯ และอุทยานฯ ในพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งหากผู้บริหารกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ดำเนินการตามที่นายชัยวัฒน์ร้องขอ แสดงว่ามีการปกป้องคุ้มครองจาก ทส.และกรมอุทยานฯ และไม่มีความจริงใจที่จะอำนวยความสะดวกให้การตามหาบิลลี่เพื่อให้เกิดความโปร่งใส

“ตามที่นายชัยวัฒน์ได้ให้ข่าวในทำนองว่านายพอละจี ยังมีชีวิตอยู่ หรืออาจหลบอยู่ในป่าแห่งใดแห่งหนึ่ง ทั้งหมดเป็นแผนการที่ต้องการจะย้ายตนเองออกจากพื้นที่นั้น สะท้อนให้เห็นว่านายชัยวัฒน์ยังมีอคติอย่างสูงกับชาวบ้านและเครือข่ายกะเหรี่ยง อีกทั้งยังได้มีการคุกคามวิถีการทำมาหากินของชาวบ้านอย่างอาฆาตมาตรร้ายและได้ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงด้วย ทำให้ชาวบ้านกลัวเจ้าหน้าที่จนไม่กล้าเข้าป่าไปหากินตามวิถีชีวิตกะเหรี่ยง” นายจีรศักดิ์ กล่าว

ผู้แทนสมาพันธ์ชาวกะเหรี่ยงกล่าวอีกว่า สมาพันธ์ชาวกะเหรี่ยงขอเรียกร้อง 3 ข้อ คือ 1.ให้ย้ายนายชัยวัฒน์ ออกจากพื้นที่เข้าประจำการที่กรมอุทยานฯ โดยด่วน และไม่ให้มีอำนาจใดๆ เกี่ยวข้องกับอุทยานฯ แก่งกระจานอย่างเด็ดขาด โดยมีระยะเวลาการย้ายจนกว่ากระบวนการพิจารณาคดีจะสิ้นสุด 2.ให้ปลัด ทส. เป็นเจ้าภาพในการประสานงานการตามหาตัวบิลลี่ และติดตามเร่งการสอบสวนเรื่องราวทั้งหมด 3.ให้ปลัด ทส. มีมาตรการและสั่งให้มีการคุ้มครองวิถีชีวิตชาติพันธุ์กะเหรี่ยงแก่งกระจานและที่อื่นๆ ตาม มติ ครม. 3 สิงหาคม 2553 (ว่าด้วยแนวนโยบายฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง) เพื่อลดความขัดแย้งในสังคมและการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ขณะที่นายโชติ กล่าวว่า การหายตัวไปของบิลลี่กำลังเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจ ทส.ก็ให้ความสำคัญเช่นกัน ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ต้องลงมาดูข้อเท็จจริง แต่จำเป็นต้องให้ความเป็นธรรมแก่นายชัยวัฒน์ด้วย ส่วนการสืบสวนหาเบาะแสนั้นเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ตำรวจ โดยทส.พร้อมที่จะอำนวยความสะดวกในการทำงานอย่างเต็มที่ และเห็นว่าขอย้ายของนายชัวัฒน์ก็เป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจ และความสบายใจของชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งข้อเสนอทั้ง 3 ข้อ ไม่น่าเป็นห่วง ทส.จะรับไว้พิจารณาและดำเนินการในแนวทาง แต่กรณีการออกคำสั่งย้ายนายชัยวัฒน์นั้น ต้องให้รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอุทยานฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานบังคับบัญชาโดยตรงพิจารณาตามระเบียบ และสำหรับการให้ความคุ้มครองชาติพันธุ์นั้น ถือเป็นหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามมติ ครม. 3 สิงหาคมอยู่แล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตัวแทนสมาพันธ์ชาวกระเหรี่ยงฯ ได้ร้องขอให้ปลัด ทส.ลงนามารับรองในหนังสือร้องเรียน เพื่อให้ชาวบ้านอุ่นใจและเป็นเอกสารยืนยันกับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ในพื้นที่ให้ปฏิบัติตามมติครม. 3 สิงหาคม ซึ่งปลัดทส.ได้ลงนามให้พร้อมระบุข้อความโดยให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฏหมายและมติ ครม.ที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ในช่วงเวลาเดียวกัน นางสาวปริญญา บุญฤทธิ์ฤทัยกุล ผู้อำนวยการ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ได้เข้าพบปลัด ทส. เพื่อติดตามความคืบหน้ากรณีการหายตัวไปของบิลลี่ พร้อมยื่นจดหมายและ 9,674 รายชื่อ หลังจากแอมเนสตี้ฯ ได้ออก “ปฏิบัติการด่วน” (Urgent Action) ส่งถึงสมาชิกทั่วโลกให้เขียนจดหมายถึงรัฐบาลไทยในช่วง 30 เมษายน – 11 พฤษภาคม 2557 เรียกร้องให้มีการสอบสวนการหายตัวไปของบิลลี่

นางสาวปริญญากล่าวว่า จะทำการรณรงค์อย่างต่อเนื่องจนกว่านายบิลลี่และครอบครัวจะได้รับความเป็นธรรม โดยมีข้อเรียกร้องให้ทางทางการไทยและทส.ซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัดของกรมอุทยานฯ ดำเนินการค้นหาตัวบิลลี่ ซึ่งมีผู้พบตัวเขาเป็นครั้งสุดท้ายระหว่างถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่อุทยานฯ แก่งกระจาน และให้ปล่อยตัวบิลลี่ทันที หากเขายังถูกควบคุมตัวอยู่ หรือไม่เช่นนั้นให้นำตัวเขาไปเข้ารับการพิจารณาของศาลที่เป็นอิสระ ให้มีการตั้งข้อหาตามความผิดที่มีการรับรองในระดับสากล และหากมีการควบคุมตัวระหว่างดำเนินคดีต้องอนุญาตให้ครอบครัว ทนายความสามารถเข้าไปเยี่ยมได้ทันที และให้ได้รับการรักษาตามที่จำเป็น

เวลา 15.00 น. ตัวแทนสมาพันธ์ชาวกะเหรี่ยงแห่งสยาม และชาวบ้านกะเหรี่ยงได้เดินทางไปที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ ถ.พหลโยธิน เพื่อติดตามความคืบหน้าตามที่ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อกรมอุทยานฯ เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม เพื่อขอให้โยกย้ายหัวหน้าอุทยานฯ แก่งกระจานออกจากพื้นที่ เพื่อให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างโปร่งใส นอกจากนี้ได้มีตัวแทนจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรมร่วมเข้าฟังด้วย

ทั้งนี้นายนิพนธ์ โชติบาล รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอุทยานฯ ได้อนุญาตให้ชาวบ้านเข้าพบตามความต้องการ และได้แจ้งต่อชาวบ้านว่าจะขอบันทึกเสียงการพูดคุยในครั้งนี้ เนื่องจากถ้ามีการพูดกล่าวหากรมอุทยานฯ หรือนายชัยวัฒน์ให้เกิดความเสียหายโดยไม่มีข้อเท็จจริง จะขอใช้เป็นหลักฐานฟ้องหมิ่นประมาท

นายนิพนธ์ กล่าวว่า เรื่องของบิลลี่เป็นเรื่องของคนหาย ถ้าต้องการเร่งรัดความคืบหน้าในการหาบิลลี่ต้องไปติดตามกับพนักงานสืบสวนหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเวลาผ่านไปเกือบ1 เดือนแล้ว แต่ยังไม่มีหลักฐานหรือเบาะแสใดๆ และยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา นายชัยวัฒน์จึงยังเป็นผู้บริสุทธิ์ ทุกฝ่ายจึงต้องให้ความเป็นธรรมด้วย

“เป็นแค่คดีคนหาย พนักงานสอบก็ไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา แต่สื่อโซเซียลมีเดียกล่าวหาไปแล้วว่าชัยวัฒน์เป็นคนอุ้มบิลลี่ ซึ่งถ้ามีพยานหลักฐาน ผมจะจัดการนายชัยวัฒน์อย่างเต็มที่เลย แต่ตอนนี้พนักงานสอบสวนเองก็ไม่ได้ร้องมาว่านายชัยวัฒน์เป็นอุปสรรคต่อการสอบสวนเลย” นายนิพนธ์ กล่าว และว่าส่วนกรณีคำสั่งย้ายนายชัยวัฒน์นั้น ได้ออกคำสั่งย้ายนายชัยวัฒน์แล้วให้ไปอยู่ที่ สบอ.3 จ.ราชบุรี เป็นเวลา 1 เดือน มีผลบังคับตั้งแต่ 14 พฤษภาคม ซึ่งเป็นดุลพินิจของตนเองที่เห็นว่าเหมาะสม ประกอบกับเป็นความต้องการของนายชัยวัฒน์ด้วย เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ แต่ถ้าครบกำหนด 1 เดือน มีการร้องขอจากพนักงานสอบสวน ก็ยินดีจะขยายเวลาให้

“เดิมทีนายชัยวัฒน์ได้เข้ามาแสดงความบริสุทธิ์ใจขอให้ย้ายเขาออกไปนอกพื้นที่ แต่การที่จะสั่งย้ายหรือลงโทษต้องมีหลักฐานประกอบ แต่เพื่อความสบายใจ เราก็เอาเขาออกจากพื้นที่ก่อน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำงานได้สะดวก ถ้าหลังจากนี้ถ้ามีการข่มขู่ รังแก หรือนายชัยวัฒน์สั่งให้ลูกน้องทำร้ายชาวบ้านหรือเป็นอุปสรรคต่อการหาเบาะแส ขอให้เอาพยานหลักฐานมายืนยันโดยตรง ผมจะจัดการให้อย่างเด็ดขาด” นายนิพนธ์ กล่าว

รักษาการอธิบดีกรมอุทยานฯกล่าวว่า ถ้าหากนายชัยวัฒน์เป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่จริง แม้จะถูกย้ายไปอยู่ไกลแค่ไหนเขาก็สามารถสั่งการในพื้นที่ได้ แต่วันนี้ยังไม่มีหลักฐานอะไรที่ชี้ว่าเป็นผู้กระทำผิดจริง ซึ่งถ้าในฐานะผู้บังคับบัญชาไม่ให้ความเป็นธรรมแก่นายชัยวัฒน์ ก็อาจมีความผิดตามกฏหมายอาญา มาตรา 157 ฐานละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือทุจริต

“นอกจากกลุ่มที่ต้องการให้ย้ายชัยวัฒน์ ยังมีกลุ่มที่โทรมา ส่งจดหมายมา ไม่ให้ย้ายก็มี บอกว่าชัยวัฒน์เป็นคนดี เป็นฮีโร่ของกรมอุทยาน เป็นคนทำงานจริงจัง เขาได้ประกาศนียบัตร ได้โล่จากหลายหน่วยงาน ในพื้นที่ก็มีคนของผมที่คอยสอดส่องและรายงานสถานการณ์กลับมาอยู่แล้ว ถ้าใครมีพฤติกรรมไม่ดีก็ไม่สามารถลอดสายตาไปได้”นายนิพนธ์ กล่าว

ทั้งนี้นายนิพนธ์ ยังได้ขอให้ตัวแทนจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรมส่งตัวแทนลงไปสังเกตการณ์ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานในช่วงเวลา 1 เดือนที่นายชัยวัฒน์ไม่อยู่ เพื่อจะได้กันช่วยติดตามเบาะแส หรือดูปัญหาด้านสิทธิการดำรงชีวิตตามวิถีคนกะเหรี่ยง ซึ่งถ้าพบว่ามีเจ้าหน้าที่คนใดมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมหรือมีปัญหาอื่นใดให้แจ้งข้อมูลมาได้ทันที และยินดีจะจัดการอย่างเด็ดขาด

On Key

Related Posts

นายจ้างสีขาว-ลูกจ้างต่างด้าวหวั่นข้อมูลลงทะเบียนแรงงานหลุดถึงมือรัฐบาลพม่า-เชื่อถูกนำไปเช็คบิลแน่หลังรัฐบาลทหารพม่าถังแตกสั่งเรียกเก็บภาษี 25% ชาวมอญตื่นสั่งลูกเลิกเรียนแห่กันเข้ามาขุดทองในไทย

เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2568 นางนิลุบล พงษ์พะยอม ตัวRead More →

USIPแนะไทยชิงธงนำปราบปรามแหล่งอาชญากรรมริมเมย ชี้มีนาคมอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่-จีนจับชิตู เชื่อแดนมังกรต้องการขยายอิทธิพลเปิดช่องให้รัฐบาลทหารพม่ากุมพื้นที่ ขณะที่ 32 เหยื่อชาวอินโดฯหนีข้ามแดนทะลักไทย

เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2568 นายเจสัน ทาวเวอร์ ผู้อำRead More →