Search

ภาพถ่ายทางอากาศ“จิสดา”พบเปิดหน้าดินขนาดใหญ่กว่า 40 จุดที่ต้นแม่น้ำกก-น้ำสายใช้เวลาแค่ 2 ปีรุกป่าเหี้ยน ประธาน กมธ.ที่ดินจี้ใช้กลไกทางทหารเร่งหารือ-กต.ทำหนังสือประท้วงพม่าแล้ว

เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2568 ดร.พูนศักดิ์ จันทร์จำปี ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์กรณีมลพิษข้ามพรมแดนแม่น้ำกก ว่า กมธ.ได้มีการประชุมเรื่องนี้โดยประสานงานให้กรมควบคุมมลพิษ ตรวจสอบว่าสาเหตุเกิดจากในประเทศหรือต่างประเทศ พบว่าเกิดจากแหล่งมลพิษในต่างประเทศ และการรายงานการติดตามผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมบริเวณแม่น้ำกก จังหวัดเชียงใหม่ จากกรณีมลพิษข้ามแดน จากเทคโนโลยีดาวเทียม โดย GISTDA (สำานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ) ทำให้เห็นว่ามีการเปิดหน้าดินเป็นจำนวนมากในเขตพม่า การเปิดหน้าดินนี้สัมพันธ์กับความขุ่นของแม่น้ำกกที่เชียงราย รวมถึงแม่น้ำสาย ซึ่งได้หลากท่วมมีตะกอนดินมหึมา พบข้อมูลว่ามีการทำลายหน้าดินเขตต้นน้ำกว่า 40 จุดซึ่งเป็นจุดใหญ่ๆ ถ้าไม่ใช้เพื่อทำเหมืองก็ต้องเกี่ยวกับการเกษตร โดยได้ให้ GISTDA หาข้อมูลเพิ่ม

“เท่าที่ดูจากภาพถ่ายดาวเทียม การเปิดหน้าดินเกิดขึ้นแค่ช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี่เอง ข้อมูลปี 2565 ยังเป็นป่าสมบูรณ์ แต่ปี 2566 2567 ก็เริ่มเห็นการเปิดหน้าดินชัดเจน” ประธานกมธ.กล่าว และว่า กมธ.พิจารณาปัญหาในเขตแดนไทย โดยตรวจสอบเรื่องปลากับกรมประมงซึ่งรายงานว่า มีการจับปลามาตรวจสอบและผลออกมาว่าสารหนูไม่เกินมาตรฐาน แต่ต้องเก็บข้อมูลต่อเนื่องรวมทั้งน้ำประปา

ดร.พูนศักดิ์กล่าวอีกว่า ในประเด็นที่เชื่อมโยงกับต่างประเทศนั้น ผู้แทนเจ้ากรมกิจการชายแดน ได้ให้ข้อมูลโดยสิ่งที่ทหารสามารถดำเนินการได้คือประสานกับทหารพม่า ซึ่งมีการติดต่อเป็นประจำ แต่ต้องยอมรับว่าหลายพื้นที่ที่เกิดปัญหานี้เป็นเขตของกองกำลังว้า ที่ไทยไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตด้วย ที่ผ่านมาทราบว่ากระทรวงการต่างประเทศ ( กต.) ได้ทำหนังสือแจ้งประท้วงไปยังสถานทูตพม่าในไทย และสถานทูตไทยในพม่า

“เราอยากให้ทหารเป็นตัวหลักในการแก้ปัญหา แม้เป็นเขตของว้า แต่เชื่อว่าทหารไทยคุยได้ น่าจะเริ่มคุยได้”ประธานกมธ.กล่าว และว่าระหว่างประเทศควรต้องมีกลไกการจัดการมลพิษข้ามพรมแดน เรามีคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission-MRC) แต่ไม่มีกรอบว่าด้วยมลพิษข้ามพรมแดน ซึ่งไทยควรเป็นผู้นำในการจัดการมลพิษ 

ผู้สื่อข่าวถามว่า ทหารไทยควรมีท่าทีกับว้าแข็งกร้าวกว่านี้หรือไม่ ประธาน กมธ.กล่าวว่า อยากให้ใช้กลไกทหาร และฝ่ายความมั่นคงไปหารือกับเขา เช่น บอกว่าหากคุณก่อมลพิษไทยและประชาชนคุณก็กระทบเช่นกัน

ผู้สื่อข่าวถามว่า นอกจากเหมืองทองแล้วยังพบเหมืองแรร์เอิร์ธยิ่งทำให้การแก้ปัญหาซับซ้อนขึ้นหรือไม่ ดร.พูนศักดิ์กล่าวว่า หลักการของการทำเหมืองทองและแรร์เอิร์ธคล้ายๆกัน หากทำเหมืองถูกต้องและควบคุมการเปิดหน้าดิน การชะล้างดิน การกักเก็บตะกอนก่อนปล่อยน้ำเสียที่ต้องผ่านกระบวนการเคมีให้สารโลหะหนักตกตะกอน ซึ่งก็จะไม่มีปัญหามาก แต่เขาไม่ทำเพราะหากทำแบบนี้ต้องเสียเงิน

“เขาทำทุกอย่างไม่ต้องสนใจการจัดการสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ได้กำไรมากที่สุด หากมีกรอบจัดการถูกต้องก็สามารถจัดการได้  เราได้คุยกับ UN แล้ว หากฝ่ายความมั่นคงดำเนินการแล้ว ก็ต้องเอาวิธีการที่ถูกต้องไปให้ทางว้า มิฉะนั้นผลกระทบห่วงโซ่อาหาร มะเร็ง ก็กระทบกับเขาด้วยเหมือนกัน”ประธาน กมธ.ที่ดินฯ กล่าว 

ผู้สื่อข่าวถามว่าชาวบ้านลุ่มน้ำกกได้เรียกร้องให้แก้ปัญหานี้มา 3 เดือนแล้ว แต่ระดับนำในรัฐบาลกลับไม่สนใจเท่าที่ควร ดร.พูนศักดิ์กล่าวว่า  กรณีแม่น้ำกกถือว่ารัฐบาลสอบตกในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม เพราะต้องดำเนินการเร็วกว่านี้

“ฤดูฝนปีนี้คนเชียงรายเสี่ยงที่จะเผชิญปัญหาเดิม การเปิดหน้าดินเปิดทิ้งไว้ที่ต้นน้ำกก ต้นน้ำสาย ไม่มีการแก้ไข อุทกภัยโคลนเกิดอีกแน่ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ต้องประเมินความเสี่ยงให้ได้ว่า ฝนขนาดนี้น้ำจะมาแค่ไหน ประเมินความเสี่ยงให้ประชาชนทราบเพื่อลดความเสียหาย”ประธาน กมธ.ที่ดินฯ กล่าว

อ่านรายงานของ Gistda ได้ที่ https://transbordernews.in.th/home/wp-content/uploads/การติดตามผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมบริเวณน้ำกกจังหวัดเชียงใหม่-จากกรณีมลพิษข้ามแดน.pdf

————

On Key

Related Posts