เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2557 นางสาวพิณนภา พฤกษาพรรณ หรือมึนอ ภรรยานายพอละจี รักจงเจริญ หรือ บิลลี่ แกนนำชาวกะเหรี่ยงบางกลอย อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ที่ถูกบังคับให้หายตัวไป เปิดเผยว่า ขณะนี้ตนได้เขียนจดหมายถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับสามี ที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย โดยจดหมายดังกล่าวเขียนเสร็จตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน ที่ผ่านมา ซึ่งจะขอเวลาในการปรึกษาเพื่อนบ้าน ญาติ และภาคีเครือข่ายอื่นๆ อีกครั้งว่าจะส่งจดหมายดังกล่าวถึง หัวหน้าคสช.หรือจะเดินทางมายื่นหนังสือที่กรุงเทพมหานครฯ
นางสาวพิณนภากล่าวว่า เนื้อหาในจดหมายตนได้เขียนถึงบทบาทของนายพอละจี ในฐานะนักเคลื่อนไหวทางสังคมที่ได้สละเวลาเพื่อการทำงานให้ชุมชน โดยเฉพาะกรณีที่ต่อสู้เพื่อสิทธิชุมชนทั้งสิทธิด้านที่อยู่อาศัยและสิทธิในที่ดินทำกิน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นความทุกข์ของชาวบ้านบางกลอยหลังถูกย้ายถิ่นฐานลงมาจากชุมชนบางกลอยบน นอกจากนี้ยังได้ร้องเรียนกรณีเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติฯแก่งกระจานกระทำการมิชอบต่อชาวบ้านในพื้นที่ด้วย เช่น การใช้อำนาจจับกุมนายพอละจี กรณีครอบครองน้ำผึ้งป่าแล้วไม่ส่งต่อให้ตำรวจดำเนินคดี แต่กลับปล่อยตัวไปจนเป็นเหตุให้นายพอละจี หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
“ดิฉันหวังว่าท่านพลเอกประยุทธ์ จะเห็นใจพวกเรา และให้ความช่วยเหลือบ้าง อย่างน้อยกรณีการทำงานของเจ้าหน้าที่อุทยาน ในเมื่อตอนนี้ทหารปกครองสถานการณ์ประเทศไทยอยู่ ก็อยากให้ใช้อำนาจและหน้าที่กำชับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ บ้าง หรืออย่างน้อยได้ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่สืบสวน สอบสวนและผู้เกี่ยวข้องได้ติดตามคดีพี่บิลลี่อย่างจริงจัง เราและญาติๆไม่มีที่พึ่งแล้วจริงๆ ไม่รู้ว่ากรณีเผาไล่ที่กะเหรี่ยงบางกลอยจะเป็นยังไงต่อไป จะยืดเยื้อหรือเปล่า แต่อยากให้ทหารมีส่วนกำชับเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนด้วย เราอยากได้ความเป็นธรรมคืนหมู่บ้าน” นางสาวพิณนภา กล่าว
ด้านดร.เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ นักวิชาการศูนย์สันติศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล และรองประธานคณะอนุกรรมการด้านที่ดินและป่า ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม) กล่าวว่าภายหลังจากที่ กสม. และนักวิชาการที่เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่หมู่บ้านโป่งลึก-บางกลอยเมื่อวันที่ 5-6 มิถุนายน ที่ผ่านมา สภาพปัญหาของชาวบ้านไม่ได้เกิดขึ้นหลังจากการผลักดันให้ออกจากพื้นที่บางกลอยบนเมื่อปี 2554 เท่านั้น แต่พบว่าชาวบ้านที่อพยพย้ายมาเมื่อปี 2539-2540 ก็ยังเผชิญกับปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยและที่ทำกินเช่นกัน ซึ่งจากการสอบถามชาวบ้านทราบว่า กลุ่มที่ไร้ที่ทำกินส่วนมากเป็นลูกหลานของกะเหรี่ยงที่ถูกย้ายมา จึงยังไม่มีชื่อในสิทธิทำกิน ข้อมูลส่วนนี้เป็นเรื่องปกติ แต่ที่น่ากังวลคือ กลุ่มผู้เฒ่าที่ย้ายมาตั้งแต่ปี 2539 ยังพบว่า บางรายต้องอาศัยเพื่อนบ้านอยู่ แต่ข้อมูลตรงนี้กลับไม่มีการบันทึกไว้ ดังนั้นเพื่อใหเกิดความโปร่งใส ทางภาครัฐและชาวบ้านต้องหันมาวางกรอบในการบริหารพื้นที่อุทยานร่วมกัน โดยส่วนตัวเห็นด้วยกับการสำรวจพื้นที่เพื่อจัดสรรให้ชาวบ้านเพิ่มเติม แต่การจัดสรรอย่างมีระเบียบนั้น ภาครัฐต้องคุยกับชาวบ้านให้แน่ชัดว่าจะวางกรอบการดำเนินชีวิตอย่างไรไม่ให้เกิดปัญหาการบุกรุก และเกิดปัญหาจับแพะกระทำผิดทำลายป่า ทำลายสัตว์ป่า เหมือนที่ผ่านมา เพียงเพราะป่าที่ถูกทำลายไปเกิดขึ้นในชุมชนกะเหรี่ยง และบริเวณใกล้เคียง
ดร.เพิ่มศักดิ์ กล่าวต่อว่า วาทกรรมอย่างหนึ่งที่พบมากที่สุด หลังจากการประกาศเขตอุทยานฯ คือกะเหรี่ยงทำลายป่า กะเหรี่ยงตัดไม้ แต่ภาพที่นำเสนอคือภาพไร่หมุนเวียน ซึ่งต้นไม้ในไร่หมุนเวียนจากประสบการณ์ตรงเป็นต้นไม้ขนาดเล็กอายุไม่กี่ปี โดยปัจจุบันตัวอย่างความจริงที่สะท้อนคุณภาพในการจัดการป่าไม้ของภาครัฐนั้นเห็นชัดแล้วว่า ป่าแก่งกระจานจากด่านมะเร็วถึงบ้านโป่งลึก ไม่มีไม้ใหญ่อายุยืนแล้ว เพราะไม้ถูกตีมูลค่าทางเศรษฐกิจมานานกว่า 50 ปี สะท้อนว่ารัฐก็ไม่ได้มีคุณภาพในการจัดการ ดังนั้นการประกาศเขตวัฒนธรรมพิเศษ ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ปี 2553 จึงจำเป็นอย่างมาก โดยส่วนตัวเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่จะประกาศเขตวัฒนธรรมฯ เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ได้มีส่วนร่วมในการดูแลป่า
“บ้านกะเหรี่ยงทุกวันนี้มีแค่ไม้ไผ่ มีไม้อื่น แค่ตัวเสาบ้านเท่านั้น พวกเขาอยู่อย่างหวาดกลัว ผมลงบางกลอยครั้งนี้รู้สึกใจหาย ชาวบ้านกลัวเจ้าหน้าที่ จนไม่กล้าพูด ไม่กล้าบอกเล่าปัญหา ต่างจากอดีตนั้น ผมลงพื้นที่ใดมีกะเหรี่ยงอยู่ ที่ตรงนั้นมีป่า มีต้นไม้ใหญ่ พวกเขาเล่าประวัติไม้ ประวัติห้วยได้ดี มีความรู้เรื่องป่ามาก แต่ปัจจุบันแม้แต่ความคิดที่จะขอใช้ชีวิตตามวิถีเดิมก็ยังไม่กล้าพูด ยิ่งหลังจากบิลลี่หายตัวไปแล้ว ความหวาดกลัวของกะเหรี่ยงบางกลอยยิ่งมีมากขึ้น ตรงนี้ผมว่าไม่ยุติธรรมสำหรับชุมชน ” ดร.เพิ่มศักดิ์ กล่าว
รองประธานคณะอนุกรรมการด้านที่ดินและป่า กล่าวด้วยว่า เห็นด้วยที่เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ได้มาประชุมและร่วมหารือกันกับกสม.เพื่อตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหากะเหรี่ยงบางกลอย และเตรียมเก็บข้อมูลพื้นที่อยู่อาศัย และที่ทำกินร่วมกัน แต่เกรงนโยบายดังกล่าวจะต้องยุติลง หากมีการแทรกแทรงจากผู้ไม่หวังดี ดังนั้นภายใน 2-3 วันนี้ทางกสม.และผู้เกี่ยวข้องจะหารือกันอีกครั้งเพื่อขอความร่วมมือไปยังรักษาการอธิบดีกรมอุทยานฯ เพื่อขอให้ออกคำสั่งและให้ความร่วมมือในการตั้งคณะทำงานฯ โดยเฉพาะย้ายหัวหน้าอุทยานฯ แก่งกระจาน ก็ควรยืดระยะเวลาออกไป เพราะถูกระบุว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาหลายอย่างในบางกลอยและชาวบ้านหลายรายยืนยันว่า ไม่กล้าพูดเพราะกลัวจะเกิดข้อขัดแย้งกับอุทยานฯ เพิ่มเติม ในการเก็บข้อมูลและสำรวจความแน่ชัดเรื่องปัญหาบางกลอยจึงจำเป็นต้องดำเนินไปอย่างโปร่งใส ไร้การแทรกแทรง ซึ่งหากกรมอุทยานฯไม่ดำเนินการก็เท่ากับว่าละเลยการปฏิบัติหน้าที่