เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม นายเพชร นาจาน สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองแสงใหญ่ หมู่ 2 บ้านวังสะแบงใต้ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี เปิดเผยว่า เมื่อเช้าวันเดียวกันนี้ได้ทราบข่าวจากชาวบ้านหัวเห่วว่า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)ได้ทำการเปิดประตูเขื่อนปากมูลแล้วทั้ง 8 บาน ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำมูลเหนือเขื่อนตอนนี้ไหลแรง และคาดว่าน้ำจะค่อยๆ ลดระดับลงเรื่อยๆ
“ตอนนี้ปลาจากน้ำโขงกำลังขึ้นมาเป็นจำนวนมาก เมื่อคืนที่ปิดประตูเขื่อน ที่ท้ายเขื่อนคนไปหาปลาได้ปลากันมาก ขายกันได้ 8,000- 10,000 บาทภายในคืนเดียว เพราะปลาจากน้ำโขงมันมารอจะว่ายเข้าน้ำมูล แต่เขื่อนปิดไว้ก็ไปไหนไม่ได้ อยู่ได้แค่ตรงท้ายเขื่อน” นายเพชรกล่าวและว่าหลังจากที่ผู้ใหญ่บ้านประกาศว่าจะเปิดประตูเขื่อน ชาวบ้านคนหาปลาที่ปากมูลหลายหมู่บ้านต่างคึกคัก เตรียมเรือ เตรียมเครือ่งมือหาปลา เมื่อคืนผมก็ไปออกเรือ ไหลมอง (ลงตาข่าย) แต่ยังไม่มีปลาขึ้นมา
นางสมปอง เวียงจันทร์ แกนนำชาวบ้านปากมูล กล่าวว่า การเปิดประตูเขื่อนตอนนี้ยังเปิดแบบครึ่งๆกลางๆเพราะยกประตูไม่หมด ทำให้ปริมาณน้ำด้านล่างไหลแรงและผิวน้ำเป็นคลื่น ทำให้ปลาจากด้านล่างไม่สามารถว่ายขึ้นมาด้านบนของแม่น้ำมูลได้อย่างเต็มที่ ซึ่งตนเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมกฟผ.ถึงทำเช่นนี้ ตนไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะต้องการให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)เห็นว่าได้ทำการเปิดประตูเขื่อนตามที่ชาวบ้านต้องการแล้ว แต่วิธีการเช่นนี้ถือว่าเป็นการหลอกกัน ทั้งนี้ชาวบ้านกำลังปรึกษากันว่าจะส่งตัวแทนไปพบกับผู้ใหญ่ในคสช.เพื่ออธิบายประเด็นปัญหาของชาวบ้านให้เข้าใจ รวมทั้งกรณีการเปิดเขื่อนไม่สุดด้วย
“เราอยากไปขอบคุณคสช.ที่ช่วยสั่งการให้กฟผ.เปิดประตูเขื่อน แต่เป็นการเปิดแบบครึ่งๆกลางๆ ทำให้ปลาไม่สามารถว่ายมายังด้านบนได้ ที่ผ่านมาเรายังไม่เคยคุยกับคสช.อย่างเป็นทางการ ดังนั้นหากมีโอกาสพบกันก็จะเล่าให้เขาฟังถึงสภาพปัญหาและความต้องการของชาวบ้าน”นางสมปอง กล่าว
นางสมปองกล่าวว่า ปัญหาของชาวปากมูลได้มีการศึกษากันมามาก ซึ่งในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหญ่ที่มีนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย เป็นประธานโดยมีข้อสรุปจากงานวิจัย 6 ฉบับ รวมทั้งการลงพื้นที่ให้มีการเปิดเขื่อนและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ แต่เนื่องจากข้อสรุปดังกล่าวนายอภิสิทธิ์มองว่าแข็งไปจึงหาทางออกด้วยการขอให้ทดลองเปิดเขื่อน 5 ปีก่อน ซึ่งข้อสรุปเหล่านี้เป็นสิ่งที่ชาวบ้านรับได้เพราะอิงอยู่บนฐานวิชาการ ดังนั้นหากคสช.ยึดแนวดังกล่าวมาสานต่อก็เป็นเรื่องที่ดี แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีส่วนร่วมของชาวบ้าน เพราะในบางรัฐบาลมีคำสั่งให้ทางจังหวัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาจัดการกันเองโดยที่ชาวบ้านไม่รู้เรื่องด้วยเลยซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูก
.