เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2557 นายปณพล ชีวะเสรีชล หัวหน้าอุทยานแห่งชาติตะรุเต่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เปิดเผยว่า จากกรณีที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ประสานงานเรื่องการลงพื้นที่ศึกษาปัญหาข้อพิพาทที่ดิน เกาะหลีเป๊ะ อำเภอเมือง จังหวัดสตูล นั้น เจ้าหน้าที่อุทยานฯเตรียมข้อมูลเอกสารไว้นำเสนอแล้ว โดยเป็นข้อมลเอกสารทั้งที่เปิดเผยได้ต่อสาธารณะและเอกสารลับ ถึงปัญหาที่ดินเกาะหลีเป๊ะ โดยวางแผนและรวบรวมข้อมูลไว้นานแล้ว และการลงพื้นที่ของตัวแทน คสช.ในครั้งนี้จะเป็นภาคปฏิบัติการคือตรวจทำรังวัด และเรียกตัวเจ้าของที่ดินที่อ้างกรรมสิทธิครอบครองไปชี้พื้นที่ครอบครองที่ดินของตน
นายปณพล กล่าวว่า ขณะนี้ที่ดินบนเกาะหลีเป๊ะมีผู้ยื่นเอกสารสิทธิ์ในการครอบครองทั้งหมดกว่า 80 รายทั้งที่เดิมมีที่ดินแค่ 40 แปลง ซึ่งผู้อ้างกรรมสิทธิ์ครอบครองจะระบุว่าตนซื้อจากเจ้าของเดิม มีทั้งรายใหญ่ รายย่อย แต่เบื้องต้นพบความผิดปกติคือเอกสารสิทธิบวมและที่เจ้าของกรรมสิทธิ์บางรายมีเอกสารแสดงแค่ 1 แปลงแต่ปรากฎที่ดิน 3 แห่ง แต่ละที่นั้นมีระยะทางที่ต่างกัน แน่นอนว่าส่วนนี้เป็นที่ดินผิดกฎหมาย จำเป็นต้องจับกุมและสั่งรื้อถอน
“กระบวนการสอบสวนบางอย่างอุทยานจำเป็นต้องรายงานให้ คสช.รับทราบเป็นความลับเท่านั้น เพราะอำนาจอยู่ที่ คสช.ทั้งหมด แน่นอนว่าผู้ทำผิดกฎหมาย ครอบครองเอกสารเท็จก็ต้องยอมให้ทางการดำเนินคดี สิ่งที่น่ากังวลคือ ที่ดินบนเกาะหลีเป๊ะถูกเปลี่ยนมือ เปลี่ยนเจ้าของมาหลายรุ่นทำให้การตรวจสอบนั้นยาก แต่ทางอุทยานฯ ร่วมกับ คสช.เร่งตรวจสอบโดยเร็ว โดยวางแผนไว้ว่า ระหว่างวันที่ 6-25 กันยายน จะเร่งสำรวจรังวัดและพิสูจน์เอกสารสิทธิ์ให้แล้วเสร็จทั้งเกาะ ซึ่งในส่วนที่ดินผิดกฎหมายนั้น คสช.จะดำเนินการอย่างไรต่อไปก็จะเร่งหารือกันในภายหลัง อยากให้ชาวบ้านบนเกาะวางใจและให้เวลากับการดำเนินการ” นายปณพล กล่าว
นายสัญญา สิริฮัน ผู้ใหญ่บ้านชุมชนปาดัก เกาะหลีเป๊ะ กล่าวว่า ที่ผ่านมาชาวเลถูกจำกัดสิทธิมากมายทั้งเรื่องพื้นที่ทำกินและที่อยู่อาศัยและมีข้อขัดแย้งกับเอกชนและอุทยานฯ ดังนั้นหาก คสช.จะลงมาตรวจสอบข้อเท็จจริงอยากให้ คสช.เป็นธรรมกับทุกฝ่าย และหากสามารถแก้ปัญหาได้เรื่องการจัดสรรที่ดินให้ชาวเลได้ใช้สอยโดยไม่ขัดต่อกฎหมายอุทยาน ฯ จะเป็นเรื่องดี เช่น การผ่อนปรนให้ชาวบ้านใช้ที่ดินอุทยานฯ เป็นสุสาน สามารถหาจุดยึดเหนี่ยวด้านจิตใจรวมทั้งหารือวิธีการรักษาทรัพยากรร่วมกันระหว่างชาวบ้านกับอุทยานด้วย
นางแสงโสม หาญทะเล ชาวเกาะหลีเป๊ะ และกรรมการแก้ไขปัญหาชาวเล สำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ชาวบ้านบางส่วนทราบแล้วว่าทหารจะลงพื้นที่ปฏิบัติการทำรังวัดและตรวจสอบสภาพปัญหา แต่ชาวบ้านยังไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมอย่างเป็นทางการ และไม่ทราบว่าเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายและทหารจะเจรจากันที่ใด แต่นับเป็นข่าวดีของชาวบ้านที่ คสช.จะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม โดยตนได้แค่คาดหวังว่าอย่างน้อยการลงพื้นที่ของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาชาวเล กับ คสช.ครั้งนี้จะสามารถยุติความขัดแย้งระหว่างชาวบ้าน นายทุน และอุทยานฯ ได้บ้าง ทำให้ชาวบ้านไม่ต้องตกอยู่ในความกลัว หรือหากพอเจรจาเรื่องจัดสรรที่ดินสำหรับชุมชน
รายงานข่าวแจ้งว่า ในวันที่ 4-5 กันยายน เจ้าหน้าที่อุทยานฯและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะลงพื้นที่เกาะอาดัง-หลีเป๊ะ เพื่อรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเสนอต่อผู้แทนคสช. สำหรับรายงานที่อุทยานฯได้จัดเตรียมไว้นั้น จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าแรกเริ่มมีตั้งแต่มีการออกเอกสารสิทธิให้แก้ชาวเลเป็นสค.1เมื่อปี 2498 มีด้วยกัน 41 แปลง ประมาณ 390 ไร่ แต่ปัจจุบันพบว่ามีการจัดทำเอกสารสิทธิ์ปลอมโดยพื้นที่ขยายออกหรือบวมเป็นพันไร่ เช่น กรณีของนางดารา อังโชติพันธุ์ ซึ่งกำลังมีข้อพิพาทกับชาวเล โดยลูกหลานนางดาราอ้างว่าครอบครองกรรมสิทธิ์ในที่ดินจำนวน 81 ไร่ แต่จากการตรวจสอบในเบื้องต้นของอุทยานฯพบว่าที่ดินได้เพิ่มขึ้นอีกนับสิบไร่
ข่าวแจ้งว่า กรณีที่ดินของโรงเรียนบ้านเกาะอาดัง ก็มีปัญหาเช่นกัน โดยลูกชายของโต๊ะคีรีซึ่งเป็นชาวเลที่บุกเบิกเกาะหลีเป๊ะได้บริจาคให้สร้างโรงเรียนจำนวน 6 ไร่โดยอยู่ติดทะเล ดังนั้นที่ผืนดังกล่าวจึงตกเป็นของราชพัสดุ ซึ่งปัจจุบันเหลืออยู่ 2 ไร่ โดยบริเวณด้านข้างโรงเรียนเป็นรีสอร์ทและชุมชนชาวเลซึ่งอยู่กันมานาน แต่เมื่อเร็วๆนี้ลูกหลานนางดาราได้ขายที่ดินบางส่วนบริเวณนี้ และเจ้าของที่ดินรายใหม่ได้สร้างกำแพงปิดทางขึ้น-ลงทะเลที่ชาวบ้านเคยใช้กันมานาน พร้อมทั้งมีการไล่รื้อชาวอูรักลาโว้ยบางส่วน ทำให้ชาวบ้านร้องเรียนไปยังสำนักนายกรัฐมนตรี