วันที่ 29 ตุลาคม 2557 เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุมจุมภฎ-พันธ์ทิพย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เครือข่ายสันติศึกษาร่วมกับคณะทำงานขับเคลื่อนกฏหมาย 4 ฉบับ จัดการเสวนาหัวข้อ “วิพากษ์หรือหนุนเสริมแผนแม่บททรัพยากรป่าไม้ 2557” โดยวิทยากรประกอบด้วย นายดำรง พิเดช หัวหน้าพรรคทวงคืนผืนป่าประเทศไทย สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติด้านการเมือง นายเหมราช ลบหนองบัว เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน รศ.ดร.ประภาส ปิ่นตบแต่ง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ฯ และนายประยงค์ ดอกลำไย ผู้ประสานงานคณะทำงานรณรงค์กฎหมาย 4 ฉบับ
นายดำรง พิเดช กล่าวว่า ปัญหาหลักคือการเปลี่ยนมือของที่ดินจากชาวบ้านไปสู่มือของนายทุน จากที่ดิน สปก.กว่า 30 ล้านไร่ ปัจจุบันตกไปอยู่ในมือของนายทุน 10 ล้านไร่ แต่กลับไม่มีการให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ซึ่งเกิดจากชาวบ้านที่ยากจนต้องจำใจนำที่ดินไปจำนำกับนายทุนซึ่งจ้องจะฮุบที่ดินของชาวบ้านอยู่แล้ว ทั้งที่ตามเอกสารสิทธิ์เหล่านี้ไม่สามารถทำการขายสิทธิ์หรือจำนองได้แต่เจ้าหน้าที่รัฐกลับปล่อยปะละเลย ซึ่งการเพิ่มพื้นที่ป่าในปัจจุบันทำได้ยากกว่าแต่ก่อน เนื่องจากสภาพพื้นที่เปลี่ยนไป ภูเขาก็มีเจ้าของ การปลูกป่าทำได้แต่ในพื้นที่ดินเสื่อมโทรมที่ต้นไม้เติบโตได้ยาก
นายดำรง กล่าวว่า ปัญหาคือป่ากำลังจะหมดลงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ป่าสงวนแห่งชาติในพื้นที่ภาคใต้ร้อยละ 90 เป็นป่ายางกับสวนปาล์มน้ำมัน จะมีที่อยู่ในมือคนจนจริงๆ น้อยมาก แนวทางการต่อสู้จึงจำเป็นต้องมุ่งทำให้คนจนเป็นผู้ถือครองทำกินในที่ดินและป้องกันไม่ให้เอกสารสิทธิ์หรือการครอบครองถูกเปลี่ยนมือ โดยเฉพาะการใช้แนวทางการออกกรรมสิทธิ์รวมหมู่ เช่น โฉนดชุมชน เข้ามาจัดสรรที่ดิน และต้องไม่มีการใช้วิธีการแบบที่ดิน สปก. ซึ่งยุคนี้น่าจะเป็นจังหวะที่ดีในการผลักดันให้เกิดความร่วมมือจากข้าราชการอย่างพร้อมเพรียงซึ่งในอดีตไม่สามารถทำได้จากฝ่ายการเมือง ในการนำที่ดิน สปก.เอามาจัดสรรใหม่ และควรจัดทำการสำรวจที่ดินให้เสร็จสิ้นก่อนภายใน 1 ปี เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปที่ดิน รวมทั้งภาคประชาชนจะต้องเร่งขอให้รัฐเร่งจัดการเรื่องนี้โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่ถือครองที่ดินอยู่เป็นจำนวนมากในภูมิภาคต่างๆ สำหรับแผนแม่บทฉบับนี้เห็นว่าน่าจะนำไปลองใช้เพื่อแก้ปัญหาแต่หากพบว่าส่งผลกระทบหรือเป็นปัญหากับชาวบ้านก็สามารถค่อยๆ ปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์ต่อไปได้
นายประยง ดอกลำไย กล่าวว่า รัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 66 ได้ให้สิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เมื่อมีการยกเลิกรัฐธรรมนูญและประกาศใช้กฏอัยการศึกแทน จึงต้องอาศัยมีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ฉบับที่ 64/2557 ที่มุ่งการปราบปรามหยุดยั้งการทำลายป่า และมีคำสั่ง คสช.ฉบับที่ 66/2557 ตามมาที่ระบุว่าการดำเนินการใดๆ ต้องไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้ยากไร้ ผู้ที่มีรายได้น้อย และผู้ไร้ที่ดินทำกิน ซึ่งได้อาศัยอยู่ในพื้นที่เดิมนั้นๆ ก่อนคำสั่งนี้มีผลบังคับใช้ แต่กลับมีการออกแผนแม่บทแก้ไขปัญหาการทำลายทรัพยากรป่าไม้ฯ ซึ่งมีเนื้อหาขัดแย้งกับคำสั่ง คสช. เท่ากับการติดกระดุมเม็ดแรกผิดนโยบายที่ตามมาจะผิดตามไปด้วย
“จากสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นที่มีการจับกุมดำเนินคดีกับชาวบ้านในพื้นที่และมีการยึดที่ดินนั้น เป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจที่ผิดพลาดของรัฐนับแต่อดีต เช่น การส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกยางพารา 1 ล้านไร่ การปล่อยให้ธุรกิจอาหารสัตว์รุกไล่ชาวบ้านให้ต้องหันไปทำไร่ข้าวโพด เพื่อป้อนเป็นวัตถุดิบให้กับบริษัทผู้ผลิตอาหารสัตว์รายใหญ่ ล้วนเป็นนโยบายของรัฐที่ส่งผลให้เกิดการทำลายพื้นที่ป่าของรัฐเอง อีกทั้งส่งผลให้เกิดความเกลียดชังกันระหว่างคนในป่ากับคนนอกป่า เช่น การสร้างวาทกรรมว่าชาวเขาหรือชาวบ้านเป็นผู้ทำลายป่า” นายประยง กล่าว
นายเหมราช ลบหนองบัว กล่าวว่า เนื่องจากในแผนแม่บทฉบับนี้วิเคราะห์ไว้ชัดเจนถึงสาเหตุของการสูญเสียป่าว่า เป็นผลจากแนวนโยบายด้านเศรษฐกิจที่ผิดพลาดและส่งผลกระทบต่อชาวบ้าน แต่ทำไมกลับไม่มุ่งแก้ปัญหาส่วนนี้ ดังนั้นแล้ววิธีทำให้พื้นที่ป่าเพิ่มขึ้นไม่จำเป็นต้องมุ่งเน้นการยึดคืนพื้นที่ แต่ควรส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนวิถีการใช้และครอบครองที่ดิน เช่น กำหนดให้ผู้ถือครองที่ดินทุก 10 ไร่ ต้องแบ่งทำเป็นป่า 3 ไร่ สนับสนุนชาวบ้านให้เปลี่ยนวิถีจากที่ทำไร่ให้ไปทำป่าสวนเกษตร สวนยางไปทำป่ายางสวนผสม เป็นต้น แค่นี้พื้นที่ป่าจะเพิ่มพื้นที่มากขึ้นอย่างยั่งยืน จึงต้องการเสนอให้มีการปรับแผนแม่บททันที และยับยั้งการจับกุมและดำเนินคดีกับชาวบ้าน รัฐไม่ควรทวงคืนผืนป่าจากประชาชนแต่ต้องให้คนที่อยู่กับป่าช่วยกันเป็นผู้รักษาป่า
รศ.ดร.ประภาส ปิ่นตบแต่ง กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่มีอะไรใหม่จากที่เคยเกิดขึ้นสมัยรัฐประหารปี 2534 ที่เคยเกิดโครงการจัดสรรที่ดินทำกินให้กับราษฎรผู้ยากไร้ในพื้นที่ป่าสงวนเสื่อมโทรม(คจก.) ที่กำหนดพื้นที่อนุรักษ์ทับที่ชุมชน มีการนำชาวบ้านออกจากพื้นที่และจัดสรรที่ดินให้ใหม่ ซึ่งเป็นการดำเนินการโดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน(กอ.รมน.) ที่สร้างความเดือนร้อนให้ชาวบ้าน จนในเดือนกรกฏาคม 2535 จึงมีประชาชนนับหมื่นออกมาคัดค้านจนต้องยกเลิกโครงการในที่สุด ซึ่งเป็นผลจากการเรียกร้องให้แก้ไขปัญหาของชาวบ้านที่ผนวกรวมไว้กับการสร้างประชาธิปไตยไปพร้อมกัน บทเรียนจาก คจก. จึงสะท้อนให้เห็นว่าหากชาวบ้านต้องการเรียกร้องในสิทธิชุมชนของชาวบ้าน ทุกคนควรต้องต่อสู้ในมิติของประชาธิปไตย เพื่อให้ชาวบ้านได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดแผนแม่บทและปัญหาต่างๆ จึงจะให้ได้รับการแก้ไข
นายไสว มาลัย ชาวบ้านเครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน กล่าวว่า รัฐไทยคุ้นเคยกับอำนาจนิยม เมื่อมีกฏหมายรองรับก็จะใช้อำนาจให้ทะลุ ทั้งที่กฏหมายเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้ดุลยพินิจตามความเหมาะสมแต่กลับไม่ใช้ เพราะสิ่งที่อยู่คู่กับอำนาจคืิอผลประโยชน์ ทางออกของปัญหาจึงควรจะอยู่ที่ชุมชน เช่น การที่ชาวบ้านเรียกร้องจนมี พรบ.ป่าชุมชน อันเป็นส่วนสำคัญให้พื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น ส่วนแผนแม่บทฉบับบนี้ตนเสนอให้ยกเลิกเพื่อเปิดโอกาสให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมในการกำหนดแผน
นางกันยา ปันกิตติ ชาวบ้านเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด กล่าวว่า ต้องการให้มีการพิสูจน์สิทธิ์ชาวบ้านอย่างถูกต้องตามข้อเท็จจริง ถ้าใครอยู่มาก่อนปี 2484 ควรจะให้สิทธิ์ชาวบ้านทันที เพราะบางกรณีถ้ายึดเกณฑ์พิสูจน์ด้วยเอกสารสิทธิ์หรือทะเบียนบ้าน ชาวบ้านส่วนใหญ่แทบจะไม่มีใครมีเลย เพราะหลักฐานเหล่านั้นถูกจัดทำหลังจากการมีอยู่ของชุมชน และหากนำแผนแม่บทฉบับนี้มาใช้แล้วค่อยแก้ไขเนื้อหา ต้นไม้ของชาวบ้านคงถูกฟันไปจนหมดก่อน ซึ่งแต่ละต้นต้องใช้เวลานาน 20-25 ปี ในการปลูกต้นได้ผลผลิต