ระหว่างวันที่ 31 -2 พฤศจิกายน 2557 ชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม และมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ พร้อมด้วยสื่อมวลชนทั้งจากหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุและสื่อออนไลน์ ประมาณ 20 คน ร่วมกันลงพื้นที่เก็บข้อมูล และสำรวจข้อเท็จจริงชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายบุกยึดที่ดินและคืนพื้นที่ป่าไม้ รวมถึงผลกระทบจากแผนแม่บทแก้ไขปัญหาการทำลายทรัพยากรป่าไม้ การบุกรุกที่ดินของรัฐ และการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ในชุมชนพื้นที่จังหวัดเชียงราย และจังหวัดเชียงใหม่
ในวันแรก(31 พฤศจิกายน)คณะสื่อมวลชนได้ลงพื้นที่บ้านโป่งปูเฟือง อำเภแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ซึ่งก่อนหน้านี้ชาวบ้านได้ร้องเรียนว่าถูกตัดต้นยางพาราในสวนที่ปลูกไว้ในนานแล้ว นอกจากนี้ในช่วงค่ำคณะทั้งหมดได้เดินทางไปยังบ้านห้วยหินลาดใน ซึ่งเป็นชุมชนปกาเกอะญอต้นแบบในการอนุรักษ์ป่า ในอำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย
เวลา 14.00 น.ชาวบ้านโป่งปูเฟือง 7-8 รายที่ถูกทำลายสวนยาง บางรายถูกจับและติดคุก ได้ร่วมกันเล่าข้อเท็จจริงให้สื่อมวลชนได้รับทราบโดยมีนางเตือนใจ ดีเทศน์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา และนายเพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ นักวิชาการศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล และอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านที่ดินและป่าในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ร่วมรับฟัง
นายกมล อุปรัตน์ ชาวบ้านโป่งปูเฟือง กล่าวว่า หมู่บ้านของตนเป็นอีกชุมชนที่ได้รับผลกกระทบจากนโยบายของภาครับ เพราะหมู่บ้านโป่งปูเฟืองก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2432 และต่อมาได้มีการประกาศเขตป่าสงวนแม่ลาวฝั่งซ้าย ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เข้าปลูกป่าเป็นสวนป่าแม่ลาว2512 เนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ แต่มีการทุจริตและแจ้งข้อมูลเพื่อเก็บในฐานข้อมูลว่าพื้นที่ปลูกป่าแปลงแรกจำนวนกว่า 300 ไร่ ทำให้ข้อมูลพื้นที่นั้นทับซ้อนกับที่อยู่อาศัย ที่นา ที่ทำกินของชาวบ้าน
นายกมลกล่าวว่าในปี พ.ศ. 2513-2540 ยังมีการปลูกป่าทับที่ชาวบ้านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งบางแปลงมีเอกสารสิทธิ์ ต่อมาเมื่อเจ้าหน้าที่มีการปรับปรุงแผนที่ จึงเห็นชัดว่าพื้นที่ป่าและที่ทำกินทับซ้อนกัน ทำให้มีข้อขัดแย้งกันกันเรื่อยมา จนกระทั่งปี 2547 ชาวบ้านตัดสินใจจะฟ้องร้องคดี จึงมีการตรวจสอบ ทำให้รู้ว่าพื้นที่ดังกล่าวไม่ใช่พื้นที่ปลูกป่าแต่เป็นที่อยู่อาศัยและที่ทำกินของชาวบ้าน และเจ้าหน้าที่ยอมรับว่าการดำเนินการของตนเองมีความผิดพลาดและเกิดการทุจริตขึ้น จึงมีการตกลงกันว่าให้ชาวบ้านสามารถทำกินในพื้นที่ดังกล่าวได้และจะไม่มาสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน โดยแลกกับการที่ชาวบ้านไม่ฟ้องร้องคดี
“ที่ดินของผมเป็นมรดกที่ได้รับมาจากบรรพบุรุษ ผมเข้ามาทำกินในพื้นที่ เมื่อปี 2530 เดิมทีปลูกข้าวไร่ และข้าวโพด ต่อมาเมื่อมี 2547 ได้ร่วมลงทุนกับญาติปลูกยางพารา จำนวน 5 ไร่ ประมาณ 350 ต้น ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2557 เจ้าหน้าที่ตัดต้นยางของผมและเพื่อนบ้านจำนวน 8 ไร่ แถมยังต้องเผชิญปัญหากการยึดคืนที่ดิน ผมและเพื่อนบ้านหลายคนก็ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน”นายกมล กล่าว
นางเตือนใจ ดีเทศน์ กล่าวว่าปัญหาของชาวบ้านโป่งปูเฟืองได้ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาในจังหวัดเชียงราย โดยมีผู้ว่าราชการฯและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันหารือ โดยมีข้อสรุปในเบื้องต้นว่าจะชะลอการจับกุมชาวบ้านไว้ก่อน ทำให้ชาวบ้านมีกำลังใจ แต่จู่ๆเจ้าหน้าที่รัฐกลับมาตัดต้นยางพาราของชาวบ้าน แถมยังให้คนมาประมูลไปหมด
“เมื่อคสช.บอกว่าจะคืนความสุขให้ประชาชนก็ควรแก้ไขปัญหานี้ให้ถูกต้อง ไม่ใช่เพิ่มทุกข์ให้ขาวบ้าน และเรื่องนี้คสข.หรือคณะรัฐมนตรีควรเข้ามาแก้ไข เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่มีหลักฐานชัดเจนว่าอยู่มาก่อนป่า เขาปลูกต้นไม้ใหญ่ มีบ้านเรือนที่มั่นคง สะท้อนให้เห็นว่าชุมชนอยู่กันมานาน ทางที่ดีคือคสช.หรือคณะรัฐมนตรีควรตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ชัดเจนโดยลงมาดูพื้นที่” นางเตือนใจ กล่าว
ด้านนายปรีชา ศิริ หรือพะตีปรีชา ปราชญ์ชาวบ้านแห่งหมู่บ้านห้วยหินลาดใน ตำบ้านโป่ง อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ซึ่งชุมชนต้นแบบในการอยู่กับป่าของชาวปกาเกอะญอจนเป็นที่ยอมรับและยังได้รับรางวัลวีรบุรุษผู้ปกป้องผืนป่า (Forest Hero) จากองค์การสหประชาชาติ (UN) กล่าวว่า ขณะนี้ปัญหาเรื่องการจัดการทรัพยากรที่ดินในพื้นที่ภาคเหนือและทั่วประเทศ รวมทั้งแผนยึดคืนที่ดินเพื่อเพิ่มพื้นที่ป่านั้น ส่งผลกระทบต่อหลายชุมชน แต่กรณีของบ้านห้วยหินลาดใน ถือเป็นหมู่บ้านที่มีการจัดการที่ดินโดยชุมชน เพื่อชุมชนอย่างเข้มแข็ง หลังจากเผชิญปัญหาไฟป่า และการคุกคามของกลุ่มตัดไม้มาหลายครั้งในอดีต ทำให้ชาวบ้านเริ่มมองเห็นสภาพปัญหาและออกแบบการจัดการทรัพยากรร่วมกัน เริ่มแรกนั้นไปของบประมาณจากองค์กรภาครัฐแต่ไม่ได้รับความร่วมมือ จึงหันมาตั้งกลุ่มจัดการตนเอง เช่น การรวมกลุ่มตั้งเวรยามเฝ้าเหตุการณ์ในพื้นที่ และการสร้างเครือข่ายอาสาสมัครทำแนวกันไฟป่า
“หมู่บ้านเราตั้งมาครั้งแรกประมาณปี .2432 อยู่ในเขตป่าธรรมชาติที่คงสภาพอุดมสมบูรณ์ มีน้ำห้วยหินลาดไหลผ่าน แต่ถูกเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ปูน-โป่งเหม็น ประกาศซ้อนทับเมื่อปี พ.ศ.2517 เราพยายามลุกขึ้นมาดูแลชุมชนด้วยตัวเอง ทำให้ปัจจุบัน เรามีอาชีพและรายได้ยั่งยืนจากการทำเกษตร เช่น ทำไร่หมุนเวียน เลี้ยงสัตว์ โดยยึดหลักเกษตรผสมผสาน ทำให้หมู่บ้านมีความมั่นคงทั้งอาชีพ รายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี” นายปรีชา กล่าว
ดร.เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ นักวิชาการศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การออกแผนแม่บทป่าไม้ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นการปฏิบัติงานข้ามขั้นตอน คือ เร่งจัดการที่ดินโดยมองเป้าหมายระดับชาติ ระดับมหภาคมากกว่ามองระดับชุมชน โดยไม่มีการรับฟังเสียงประชาชนในท้องถิ่นตามหลักการที่เขียนไว้ เช่น ที่ระบุว่าการจัดการพื้นที่ป่า ที่ดินของรัฐ คสช.ระบุว่าต้องไม่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน แต่แล้วก็พบว่ามีหลายชุมชน ต้องสูญเสียที่ดินทำกิน สูญเสียรายได้ ซึ่งการจัดการแบบดังกล่าวไม่เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ เพราะ คสช.กำลังพยามยามทำลายบุคคลากรของประเทศ ซึ่งส่วนมากเป็นชนชั้นกสิกรรมที่เป็นอาชีพของคนไทยมาเนิ่นนาน ซึ่งไม่มีผลดีในอนาคตอย่างแน่นอนกับการเร่งเพิ่มพื้นที่ประเทศแต่ประชาชนไม่มีที่อยู่และที่ทำกิน
“ข้อเสนอของผมต่อแผนแม่บทครั้งนี้คืออยากให้คสช.เปิดใจรับฟังชาวบ้านที่เข้มแข็ง เช่น ชาวบ้านห้วยหินลาดใน เพื่อมาร่วมเสนอบทเรียนให้แก่ภาครัฐในการจัดการทรัพยากรที่ดิน และใช้เป็นฐานข้อมูลเพื่อปฏิรูปประเทศ กระจายรายได้และสิทธิให้เท่าเทียมกัน ไม่ใช่การเร่งรัดจัดการเพิ่มที่ดินของหลวง เพียงเพราะมองว่าป่าไม้ถูกทำลาย แต่ลืมไปว่าคุณภาพชีวิตประชาชนสำคัญไม่แพ้กัน”นายเพิ่มศักดิ์ กล่าว
////////////////////////////////////////