เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ที่ป่าชุมชนบ้านแม่ป่าเส้า-แม่คองซ้าย ตำบลแม่คอง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ สื่อมวลชนจากส่วนกลางประมาณ 20 คน โดยการสนับสนุนของชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม และมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ ได้ลงพื้นที่สำรวจข้อมูลและตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นวันที่ 2 กรณีที่มีชาวบ้านร้องเรียนว่าได้รับผลกระทบจากนโยบายยึดคืนผืนที่ป่าและแผนแม่บทแก้ไขปัญหาการทำลายทรัพยากรป่าไม้ การบุกรุกที่ดินของรัฐ และการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
เวลา 13.00 น.ชาวบ้านร่วมกันจัดพิธีบวชป่า จากนั้น ได้มีการจัดเวทีโดยมีชาวบ้านในพื้นที่และบริเวณใกล้เคียงซึ่งได้รับผลกระทบมาสะท้อนปัญหา โดยมีนายชยันต์ วรรธนะภูติ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นายทนงศักดิ์ ธรรมโม ผู้อำนวยส่วนป้องกันรักษาป่าและป้องกันไฟป่า สำนักป่าไม้ที่ 2 จังหวัดเชียงราย นายประยงค์ ดอกลำไย ที่ปรึกษาสหพันธ์เกษตกรภาคเหนือ นายเพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ นักวิชาการจากศูนย์สันติศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล และอนุกรรมการด้านที่ดินและป่าในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
นายอมรเทพ ภมรสุจริจกุล ผู้ใหญ่บ้านเลาวู อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า หมู่บ้านของตนเป็นหมู่บ้านเก่าแก่มีพื้นที่ติดกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า มีทั้งป่าชุมชน ป่าสาธารณะ ป่าใช้สอย ป่าปลูกเฉลิมพระเกียรติ มีพื้นที่ร่วมประมาณ 40,000 ไร่ โดยชาวบ้านมีพื้นที่ทำกินแค่ ประมาณ 1,000 กว่าไร่ เท่านั้นที่เหลือร่วมกันอนุรักษ์เพื่อให้เกิดความสมดุลทางธรรมชาติ ชาวบ้านหลายรายขาดแคลนที่ทำกิน แต่ก็ยังพอเพาะปลูก ทำเกษตรผสมผสานได้ โดยพื้นที่ป่าทำกอินทั้งหมด ชาวบ้านส่วนมากไม่มีเอกสารสิทธิ์ แต่ยืนยันว่ามีการบุกเบิกมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งบุกรุกภายหลังปี 2545 เหมือนที่ คสช.ประกาศให้ยึดคืน ชาวบ้านจึงไม่เห็นด้วยกับแผนแม่บทฯ ที่บุกยึดคืนพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน และอยากสนับสนุนให้มีการออกโฉนดชุมชนให้ชาวบ้านมีสิทธิครอบครองที่ทำกินถูกกฎหมาย
“ตอนนี้เขามาปิดป้ายรอบผืนที่ทำกินของชาวบ้าน มีทหาร เจ้าหน้าที่อุทยานฯลงไปในพื้นที่นับพันคน มีนักข่าวบางช่องไปด้วยแล้วมาออกข่าวว่าพื้นที่เหล่านี้ชาวบ้านบุกรุกเพราะมีนายทุนอยู่เบื้องหลัง ผมในฐานะผู้ใหญ่บ้านยืนยันได้ว่า เราทำกินกันมา 40-50 ปีโดยไม่มีนายทุนเลย มีแต่ชาวบ้านจนๆหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ผมพยายามทำหนังสืออุทธรณ์ไปแล้ว เพราะเจ้าหน้าที่อ้างแต่คำสั่งคสช.ฉบับที่ 64 และเลือกปฎิบัติไม่ใช่คำสั่งฉบับที่ 66”นายอมรเทพ กล่าว
นางอามีมะ นอยิปา อายุ 30 ปี ตัวแทนหมู่บ้านห้วยหก อำเภอเวียงแหง กล่าวว่า ตนเพิ่งเสียพื้นที่ปลูกข้าวไร่และข้าวโพด รวมทั้งพืชผลการเกษตรอื่นๆ ไปประมาณ 5 ไร่ จากทั้งหมด 8 ไร่ โดยที่ดินของตนตั้งอยู่ในอุทยานห้วยน้ำดังโดยปลูกพืชผักมานานกว่า 10 ปี แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝังก็เกิดขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาตนไปรับจ้างทำสวนให้กับนายทุยรายหนึ่ง เพราะว่างการทำไร่ของตน มีเพื่อนบ้านมาบอกว่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้มาทำการแผ้วถางนาไร่ข้าวและข้าวโพดทั้งหมด 5 ไร่ ทำให้ตอนนี้ครอบครัวของตนยังมีที่ดินทำกินเหลือแค่ 3 ไร่ ยังคิดไม่ออกว่าอนาคตจะเลี้ยงลูก 3 คน
“เราถางป่ามาปลูกทำกิน เมื่อก่อนคนของรัฐบอกเราว่าจะออกโฉนดทำกินให้ ออกเอกสารสิทธิ์ให้แต่ยังไม่มีโอกาสได้ รับเอกสารสิทธิ์นั้นเลย ก็มาเสียไร่ที่แผ้วถาง บุกเบิกมานาน หายไปแล้วเพราะนโยบายที่เราไม่รู้เรื่องและไม่มีใครแจ้งให้ทราบ” นางอามีมะ กล่าว
ขณะที่นายทนงศักดิ์ กล่าวว่า การปราบปราบการบุกรุกพื้นที่ป่าและการดำเนินการตามประกาศ คสช. นั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ยากเพราะในฐานะผู้ปฏิบัติงานต้องปฎิบัติตามคำสั่งเบื้องบน และมีชาวบ้านเป็นเบื้องหลัง ทำให้ถูกกระแททั้งข้างบนข้างล่าง การทำงานค่อนข้างยาก และเห็นใจชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน แต่ตามกรอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ กรมป่าไม้ ยืนยันว่าไม่มีการจับกุมผู้เดือดร้อนที่ชาวบ้านกลุ่มเล็กๆ แต่เน้นการจับกุมนายทุนรายใหญ่ โดยจะจับกุมผู้ที่บุกรุกพื้นที่ป่าใช้แผนที่ทางอากาศปี 2545 เข้าจับกุม โดยใครบุกรุกพื้นที่เกินเขตป่าสงวนเกินบริเวณที่ปรากฎในแผนที่ จะจัดการจับกุมทันที หากเป็นชาวบ้านก็จะเจรจาก่อน ทั้งนี้การจับกุมทุกครั้งต้องพิสูจน์ตัวบุคคล ประวัติทำกิน เอกสารสิทธิ์ และหลักฐานการครอบครองให้แน่ชัด กรณีบ้านโป่งปูเฟืองที่ถูกจับกุมและดำเนินคดีนั้น ยอมรับว่าชาวบ้านส่วนมากมีที่ทำกินทับซ้อนกับเขตป่าสงวนและเขตอุทยานแห่งชาติ แต่ส่วนเจ้าหน้าที่ที่ยึดพื้นที่นั้นยืนยันว่าไม่ใช่เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ แต่เป็นของสวนป่า ส่วนกรณีของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบที่มาร่วมเวทีนั้น ตนไม่สามารถตอบได้เพราะเป็นเรื่องของอุทยานฯ
ด้าน ดร.เพิ่มศักดิ์ กล่าวว่าแผนแม่บทฯของ คสช.เป็นโอกาสดีในการสร้างการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ เพื่อการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน โดยพัฒนาร่วมกันระหว่างรัฐ แต่จากกรณีที่ลงตรวจสอบพื้นที่บ้านโป่งปูเฟือง จังหวัดเชียงรายพบว่า การทำตามประกาศของ คสช.เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่า เป็นนโยบายที่เลือกปฏิบัติ เพราะภาพที่เห็นในหมู่บ้าน ด้านหนึ่งของชุมชนนั้นมีที่ทำกินมา 10 กว่าปี และมีชีวิตเรียบง่าย กลับโดนเจ้าหน้าที่บุกยึดที่ดิน แต่อีกด้านเป็นภาพภูเขา มีต้นยางพาราและไร่องุ่นนับพันไร่ซึ่งคาดว่าเป็นของนายทุนรายใหญ่ กลับไม่มีร่องรอยการยึด หรือทำลาย ทั้งที่ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติเช่นเดียวกับชาวบ้าน
“การทำลายพืชผล เกษตรกรรมของชาวบ้าน เป็นการทำที่ไม่เข้าใจสภาพการจัดการชุมชน หน่วยงานหลายแห่งไม่มีความเป็นธรรม แต่เป็นการเลือกปฏิบัติ โดยไม่มีโอกาสให้ชาวบ้านร่วมเจรจา พอถามว่าทำไมชาวบ้านไม่ร้องเรียน ความเดือดร้อนต่อ คสช. ปรากฎว่าคำตอบหดหู่มาก เพราะชาวบ้านที่ไปเจรจา ถูกดำเนินคดีหลายราย” ดร.เพิ่มศักดิ์ กล่าว
“เราเห็นภาพชัดว่าหลักการในแผนแม่บทฯกับทางปฎิบัติไปกันคนละทาง เท่าที่เรารวบรวมใน 26 กรณีที่ของชาวบ้านที่ประสบปัญหาเรื่องนี้ สะท้อนถึงความไม่เป็นธรรม แทนที่คสช.จะเริ่มต้นด้วยการใช้มาตรการเชิงบวกและสร้างมิตรกับชาวบ้านกลับเลือกใช้วิธีรุนแรง”ดร.เพิ่มศักดิ์ กล่าว
นายประยงค์ กล่าวว่าปัญหาเนื่องจากคำสั่งฉบับที่ 64 ของคสช.ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้กระทำการละเมิดโดยเลือกปฎิบัติไม่ยอมใช้คำสั่งฉบับที่ 66 ที่ระบุว่าไม่ให้ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ซึ่งการไปตัดต้นยางหรือพืชผลของชาวบ้านซึ่งปลูกมาก่อนที่คำสั่งนี้จะออกเมื่อเดือนมิถุนาย 2557 จึงสับสน และแผนแม่บทฯที่เขียนขึ้นมาเป็นไปด้วยความลักลั่น ถือว่าเป็นการกัดกระดุมเม็ดแรกผิด ทำให้การแก้ปัญหาต่อมาผิดเรื่อยๆ เช่น ในแผนแม่บทฯบอกว่าจะคืนพื้นที่ป่า 26 ไร่ภายใน 10 ปี โดยใช้ภาพถ่ายทางอากาศพิสูจน์ แต่ผลคือการทวงผืนป่าครั้งนี้กลับทวงคืนที่ดินทำกินของชาวบ้าน
นายประยงค์กล่าวว่า หากต้องการเพิ่มพื้นที่ป่าเป็นร้อยละ 40 ก็ต้องเพิ่มในทุกๆจังหวัดให้ได้ร้อยละ 40 แต่ในแผนแม่บทฯกลับกำหนดให้พื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ และน่านให้เป็นพื้นที่วิกฤตรุนแรงและต้องเร่งทวงคืนและปราบปรามทั้งๆที่ 3 จังหวัดดังกล่าวมีพื้นที่ป่ามากที่สุด โดยแม่ฮ่องสอนมีป่าถึงร้อยละ 81 ซึ่งไม่รู้ว่ารัฐบาลจะไปทวงผืนป่าคืนจากจังหวัดเหล่านี้ทำไมทั้งๆที่ชาวบ้านช่วยกันดูแลป่าอย่างดี ดังนั้นทางแก้ปัญหาคือคสช.ต้องยุติแผนแม่บทฯก่อน
นายชยันต์กล่าวว่า การสูญเสียพื้นที่ป่าไม่ได้เกิดจากชาวบ้านรายเล็กรายน้อย และในแผนแม่บทฯก็ไม่ได้พูดถึงการเปลี่ยนแปลงภาคเกษตรไปสู่เกษตรเชิงพานิช เช่น ข้าวโพด ยางพารา ซึ่งรัฐสนับสนุนทำให้เกิดภูเขาหัวโล้นขึ้นมากมาย นอกจากนี้ในแผนแม่บทฯยังไม่คำนึงถึงความเป็นจริง เพราะใช้กำลังเข้าไปบุกทำลายไร่สวนของชาวบ้าน ดังนั้นแทนที่จะคืนความสุขให้ประชาชนกับเป็นการคืนความเดือดร้อนให้มากกว่า”