เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2557 ประชาชนหมู่บ้านแหงเหนือ หมู่ที่1 และหมู่ที่ 7 ตำบลบ้านแหง อำเภองาว จังหวัดลำปาง ในนามกลุ่มรักษ์บ้านแหงราว 70 คน เดินทางมายังศาลปกครองเชียงใหม่ นำโดยนางสมหมาย หาญเตชะ กับพวกรวม 442 ราย เพื่อเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง กรมป่าไม้ กับพวกรวม 7 ราย ได้แก่ อธิบดีกรมป่าไม้ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมต.ทส.) นายอำเภองาว องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านแหง (อปท.) ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ (ในขณะเกิดเหตุ) ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 7 ตำบลบ้านแหง (ในขณะเกิดเหตุ) 1 ตำบลบ้านแหง อำเภองาว เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่ง เพิกถอนการออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติเพื่อทำเหมืองแร่ถ่านหินลิกไนต์ของบริษัท เขียวเหลือง จำกัด ในเขตคำขอประทานบัตรที่ 5/2553 ถึง 7/2553 จำนวน 3 ฉบับ เพิกถอนใบอนุญาตแผ้วถางป่า ในเขตคำขอประทานบัตรที่ 5/2553 และ 6/2553 จำนวน 2 ฉบับ รวมทั้ง ขอให้เพิกถอนรายงานการประชุม (ประชาคม) ฉบับวันที่ 24 กันยายน 2553 และรายงานการประชุมอบต.บ้านแหง ฉบับวันที่ 28 กันยายน 2553 ซึ่งนำมาใช้ประกอบการออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติฯของบริษัทฯ ซึ่งกลุ่มผู้ฟ้องคดีเห็นว่า รายงานทั้งสองฉบับ และการออกใบอนุญาตดังกล่าวของหน่วยงานรัฐให้แก่บริษัท เป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
นางสาวแววรินทร์ บัวเงิน หนึ่งในผู้ฟ้องคดี กล่าวว่า กลุ่มรักษ์บ้านแหงได้ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านการขอประทานบัตรเพื่อประกอบกิจการเหมืองแร่ถ่านหินลิกไนต์โดยบริษัท เขียวเหลือง จำกัด มาตั้งแต่ปี 2553 เนื่องจากเล็งเห็นถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และผลกระทบต่อวิถีทำกินของชุมชน โดยที่ผ่านมาแม้บริษัทจะยังไม่ได้ประทานบัตรเหมืองแร่ แต่ในระหว่างขั้นตอนการดำเนินการขออนุญาต หน่วยงานได้ออกใบอนุญาตใช้พื้นที่ป่าไม้ให้แก่บริษัทฯอย่างไม่ถูกต้อง เนื่องจากยังไม่ผ่านความเห็นชอบของประชาชนในพื้นที่ จึงต้องฟ้องขอให้มีการเพิกถอนใบอนุญาตและรายงานประชาคมดังกล่าว
ด้าน นางสาวส.รัตนมณี พลกล้า ทนายความศูนย์ข้อมูลชุมชน เปิดเผยว่า ตามระเบียบกรมป่าไม้ว่าด้วยการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2548 ข้อ 8(5) กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับพื้นที่ป่าที่จะอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ว่า จะต้องไม่มีปัญหากับประชาชนในพื้นที่และบริเวณใกล้เคียง เพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนรับรู้และสะท้อนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นที่ แต่โดยข้อเท็จจริง พื้นที่ขอประทานบัตรในตำบลบ้านแหง ยังมีปัญหาความขัดแย้งอยู่ เนื่องจากชาวบ้านยังมีการคัดค้านการทำเหมืองแร่มาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ตามหลักกฎหมาย หน่วยงานจึงไม่สามารถออกใบอนุญาตใช้พื้นที่ป่าให้แก่บริษัทฯได้ นอกจากนี้ ยังพบว่า รายงานการประชุมชี้แจงการทำเหมืองแร่ที่ถูกนำมาอ้างใช้เป็นรายงานประชุมประชาคมที่ชุมชนให้ความเห็นชอบเพื่อประกอบการออกใบอนุญาตใช้พื้นที่ป่านั้น ก็เป็นเอกสารที่ไม่ถูกต้อง โดยคดีนี้ผู้ฟ้องขอให้ศาลรับพิจารณาคดีเป็นคดีสิ่งแวดล้อม
ขณะที่บุปผา อินทรรุจิกุล ชาวบ้านแหงเหนือ หมู่ 7 กล่าวว่า หลังจากศาลรับเรื่องแล้วไม่ว่าอนาคตศาลจะพิจารณาอย่างไรก็ตาม ชาวบ้านจะไม่ยอมอ่อนข้อต่อการกระทำดังกล่าวของรัฐบาลและทุนใหญ่แน่นอน เพราะเป็นการละเมิดสิทธิของชาวบ้าน โดยเฉพาะเรื่องการประชาคมที่บริษัทอ้างถึงนั้นเป็นข้อมูลเท็จ ที่ชาวบ้านรับไม่ได้ ไม่สมควรเกิดขึ้นสังคมประชาธิปไตย ทั้งนี้จากการออกใบอนุญาตเพื่อทำเหมืองนั้น โดยส่วนตัวมองว่า เป็นแนวทางบริหารทรัพยากรที่ไม่เป็นธรรมกับคนจน เพราะขณะนี้รัฐบาลพยายามผลักดันเรื่องทวงคืนพื้นที่ป่า โดยการยึดที่ชาวบ้านและทำลายพืชพรรณทางการเกษตร จึง ไม่เข้าใจเจตนาเช่นกันว่า เหตุใดรัฐบาลมีแผนเพิ่มป่าจากชาวบ้านแต่กลับปล่อยพื้นที่ป่าหลายแห่งให้เอกชนทำธุรกิจโดยไม่กังวลถึงการสูญเสียป่าประเทศไทย
“คนทำนา รายได้หลักพัน หลักหมื่น มาทวงคืนอ้างว่าบุกรุก แต่พอมีทุนใหญ่เข้ามา กลับให้โอกาสทำลายป่าอย่างโจ่งแจ้ง ความยุติธรรมไม่มีเลยหรือไงตอนนี้ อย่างไรก็ตามชาวบ้านใยอมต่อกรณีดังกล่าวและจะสู้ถึงที่สุด โดยในวันที่ 9 นี้ ที่เครือข่ายภาคประชาชนจะเดินเท้าและทำกิจกรรมรณรงค์การปฏิรูปที่ดิน ชาวบ้านแหงบางส่วนจะร่วมกิจกรรมด้วย เพราะถือว่าเป็นการผลักดันนโยบายประเทศที่มีผลกับประชาชนทุกกลุ่ม” นางบุปผากล่าว
………………………………………..