เมื่อวันที่ 5 มีนาคม ที่อ.อุ้มผาง จ.ตาก ประชาคมอุ้มผางและเครือข่ายพันธมิตรได้ร่วมกันจัดงาน “อนาคตอุ้มผาง อนาคตของเรา จากภูผาสู่ทะเล” โดยเวลา 09.00 น.ได้มีการเดินรณรงค์เพื่อแสดงพลังในการกำหนดอนาคตตัวเองซึ่งมีนักเรียน ข้าราชการ และชาวบ้านเข้าร่วมอย่างคึกคัก
หลังจากนั้นในช่วงบ่ายได้มีการจัดเวทีระดมความคิดเห็น โดยนายมงคล สัณฐิติวิฑูร รองผู้ว่าราชการจังหวัดตาก กล่าวว่าดรรชนีชี้วัดของความเป็นประชาธิปไตยคือการมีส่วนร่วมของประชาชนซึ่ง ตรงกับการจัดงานครั้งนี้ ทั้งนี้การมาพูดกันเรื่องของป่าและน้ำจากประสบการณ์ขององค์กรต่างๆจะทำให้การดูแลทรัพยากรธรรมชาติเป็นไปอย่างยั่งยืน ซึ่งผลจากการประชุมครั้งนี้ทางจังหวัดพร้อมที่จะสนองตอบและตนจะนำเนื้อหาไป เรียนผู้ว่าราชการจังหวัด
นายสุชาติ จันทร์หอม ประธานภูมิเวศน์ผืนป่าตะวันตก กล่าวว่าอยากให้คนอุ้มผางได้เตรียมความพร้อมในการดำเนินชีวิตก่อนที่จะหวังจากภายนอก เพราะที่นี่การเข้า-ออกยาก เราไม่ต้องการให้คนข้างนอกมาระเบิดเข้ามา แต่อยากให้ระเบิดจากข้างในจึงพยายามสร้างภาคีต่างๆและการที่มีการประกาศให้ พื้นที่ย่านนี้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษก็สามารถทำได้ แต่คนอุ้มผางก็ต้องทำก่อน
นายสมหมาย ทรัพย์รังสิกุล ปราชญ์ชาวปกาเกอญอและผู้นำเครือข่ายต้นทะเลกล่าวว่า เจ้าหน้าที่มักเข้าใจว่าชาวบ้านเป็นฝ่ายบุกรุกป่าอย่างเดียว ซึ่งก่อนปี 2525 ยังมีป่าดิบและน้ำไหลอยู่ แต่เดี๋ยวนี้น้ำและป่าไม้ไม่ค่อยจะมีแล้ว
ตน ในฐานะคนที่อยู่ต้นน้ำหรือต้นทะเล มักถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้บุกรุกป่า ซึ่งจริงๆแล้วความต้องการต่างๆมาจากที่อื่นทั้งสิ้น เช่น สารพิษ
นาย สัมพันธ์ ทอแสงสุวรรณ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลโมโกร กล่าวว่าตนพยายามรณรงค์ให้คนในพื้นที่มีจิตสำนึกก่อนเพื่อให้อยู่ในชุมชนได้ โดยพึ่งพาตัวเองอย่างยั่งยืนโดยเฉพาะการประกอบอาชีพ โดยคนที่อยู่บนดอย หากแบ่งสัดส่วนที่ดินให้ดีเพราะมีพื้นที่จำกัดก็จะทำให้ไม่ถูกมองว่าเป็นผู้ทำลาย
นายยุทธชัย บุตรแก้ว ผู้แทนมูลนิธิสืบนาคะเสถียร กล่าวว่า จะทำอย่างไรให้ป่าผืนนี้อยู่ได้ซึ่งชุมชนต้องช่วยกันและทั้งคนและป่าก็อยู่ ร่วมกันได้ โดยเอาพืชที่ไม่ส่งผลการะทบต่อต้นน้ำมาปลูก เช่น กาแฟ ซึ่งตอนนี้มูลนิธิฯ พยายามเป็นคนกลางเพราะเข้าใจทั้งฝ่ายรัฐและชาวบ้าน ดังนั้นจึงต้องเอาทั้งสองฝ่ายมาคุยกันแทนที่จะทะเลาะกัน โดยตกลงว่าเราจะอยู่ร่วมกันอย่างไร เช่น การเดินลาดตระเวณร่วม ที่เป็นรูปธรรมมากที่สุดคือเจ้าหน้าที่สามารถกินข้าวร่วมกับชาวบ้านได้ซึ่ง ในอดีตไม่สามารถทำเช่นนี้ได้
“ปัญหาของอุ้มผางคือมีน้ำมหาศาล แต่ไม่สามารถเอาน้ำมาใช้ได้เพราะไม่สามารถจัดการน้ำได้ หากต้องการพัฒนาที่นี่ก็ต้องเริ่มจากการพัฒนาน้ำก่อน อุ้มผางควรพัฒนาเป็นเขตเศษรฐกิจพอเพียง แต่ทุกฝ่ายต้องมาคุยกันก่อนเพื่อให้เห็นความสำคัญของคนต้นน้ำ”
นพ.วรวิทย์ ตันติวัฒนทรัพย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุ้มผางกล่าวว่า อุ้มผางมีประชากรตามทะเบียนบ้านราว 3 หมื่นคน แต่มีประชากรจริงราว 8 หมื่นคน โดยส่วนใหญ่ไม่มีทะเบียนบ้านและอยู่ตามป่าเขา ดังนั้นการดูแลชาวบ้านต้องทำงานกันเป็นเครือข่ายเพราะไม่สามารถไปได้หมด โดยเฉพาะชาวบ้านที่อยู่ห่างไกลที่ต้องเดินไปเป็นวันๆก็มีสุขศาลาคอยดูแล เช่น หมอตำแย เพราะคนที่นี่กว่าร้อยละ 50 ยังคลอดที่บ้าน ทางโรงพยาบาลจึงได้ทำเครือข่ายหมอตำแยซึ่งอบรมไปแล้วกว่า 200 คน
“ที่นี่มีโรคระบาดเป็นประจำเพราะชาวบ้านต้องติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างมาลาเรียเราเป็นแชมป์ประเทศไทย หรืออหิวาตกโรคเคยมีบางหมู่บ้านป่วยกว่า 500 รายและตายไป 70-80 ราย ตรงนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเข้าถึงบริการสาธารณะสุขเท่านั้น ยังมีเรื่องของปัจจัยที่ยากลำบากตามธรรมชาติด้วย” นพ.วรวิทย์ กล่าว
นพ.วรวิทย์ กล่าวว่า ได้ทราบข่าวจากฝ่ายปกครองว่า ภายใน 3 ปีศูนย์อพยพอุ้มเปี้ยมและนุโพจะถูกยุบ ทำให้ผู้อพยพร่วม 4 หมื่นคนไม่มีที่อยู่ แม้จะมีการส่งกลับ แต่ธรรมชาติของคนต้องการอยู่ในที่ซึ่งมีศักยภาพสูงกว่า และคนเหล่านี้ก็จะต้องดิ้นรน เชื่อว่าจะไหลเข้ามาในอุ้มผางทำให้คนในอุ้มผางมีมากขึ้น โดยเฉพาะด้านสาธารณะสุขจะมีคนเข้ามาใช้บริการมากขึ้นเพราะในแนวชายแดนฝั่ง พม่านั้น การพัฒนาด้านสาธารณะสุขยังล้าหลังกว่าฝั่งอ.อุ้มผาง อยู่ถึง 50 ปี เชื่อว่าจะมีคนเข้ามาไม่ต่ำกว่า 1 แสน และจะมีการแข่งขันเรื่องเศรษฐกิจมากขึ้นจากนโยบายประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2558 ทำให้มีคนเข้ามามากขึ้น การบุกรุกป่าเพื่อทำกินจะมากขึ้น ในฐานะที่อุ้มผางมีระบบนิเวศที่สมบูรณ์ เป็นลุ่มน้ำชั้น 1 เอจึงต้องระมัดระวังเรื่องลุ่มน้ำที่จะได้รับผลกระทบจากการที่มีคนเข้ามาอยู่มากขึ้น.