Search

นักวิชาการแนะรื้อระบบกิจการเหมืองแร่ ชาวบ้านรอบเหมืองทองแตกตื่น-ตรวจสารพิษ พบโลหะหนักคนต้นน้ำ-หวั่นแพร่ทางอากาศ

10884000_852869638089656_853965502_o
เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2558 นางสาวสมพร เพ็งค่ำ นักวิจัยสมทบสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีการตรวจพบสารโลหะหนักในเลือดชาวบ้านในชุมชนรอบเหมืองทองในเขตรอยต่อจังหวัดเพชรบูรณ์ พิจิตและพิษณุโลก ว่าเป็นกรณีศึกษาเรื่องความล้มเหลวในการจัดการระบบสาธารณสุข จากการลงทุนที่ภาครัฐและภาคผู้ประกอบการรู้เห็นทุกขั้นตอน โดยกรณีความล้มเหลวอีกแห่งที่เป็นปัญหาคือ กรณีเหมืองทองคำที่อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลยน.ส.สมพรกล่าวว่า หากจะพิจารณาทั้งระบบนั้น เรื่องการสัมปทานเหมือง เป็นเรื่องที่ประเทศไทยมีการดำเนินการมานานนับ 10 ปี แต่ระบบที่บกพร่อง คือ ระบบการเฝ้าระวังเรื่องสุขภาพ ทั้งการป้องกัน การตรวจและการรักษา คือ มีทั้งเชิงรุก เชิงรับ โดยระบบสัมปทานเหมืองทองเมืองไทย ไม่มีการนำเจ้าหน้าที่ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเข้าไปเกี่ยวข้องเมื่อแรกเริ่มสัมปทาน ระหว่างการทำกิจการและภายหลังการประกอบการเพื่อศึกษาสุขภาพและวางระบบป้องกัน รักษาให้มีมาตรฐาน แต่ประเทศไทยขาดการตระหนัก ถึงปัญหาสุขภาพที่เกิดจากการลงทุนภาคอุตสาหกรรมที่ก่อเกิดมลพิษ ทำให้เมื่อเกิดการเจ็บป่วย ภาระการตรวจความผิดปกติของร่างกายตกเป็นคนของประชาชน

“กรณีเหมืองทองที่ภาคเหนือ ที่ผ่านกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ได้มีหนังสือถึงบริษัทผู้ประกอบการ ให้รับผิดชอบโดยส่งกลุ่มผู้ป่วยที่มีสารโลหะหนักตามผลการตรวจของหน่วยแพทย์ ไปรักษาตัวและรับผิดชอบค่าช้าจ่ายทั้งหมด พร้อมมีคำสั่งให้เร่งหาสาเหตุของการเจ็บป่วยนั้น แม้ท่าทีของ กพร.ถูกต้องในเรื่องของการดำเนินการประสานงานให้ แต่อย่าลืมว่า กพร.รับผิดชอบเรื่องอุตสาหกรรม และการลงทุนของผู้ประกอบการอยู่แล้ว ดังนั้นการจี้ให้ผู้ประกอบการรับผิดชอบหลังผลกระทบเกิดขึ้น เป็นแค่การรับผิดชอบที่ปลายเหตุ ซึ่งช่วยประชาชนได้ แต่ไม่สามารถป้องกันสุขภาพของคนรุ่นหลังได้” น.ส.สมพร กล่าว

น.ส.สมพร กล่าวด้วยว่า เรื่องของสุขภาพนั้นต้องเชื่อมโยงทุกกิจการที่เสี่ยงต่อประชาชน รัฐและเอกชนที่ลงทุนร่วมกันต้องมองให้กว้าง ขณะนี้ต้องตระหนักว่าหากจะมีกิจการที่เสี่ยงมาก คงต้องมีทั้ง นักวิชาการ เจ้าหน้าที่และผู้เชี่ยวชาญ ทั้งด้านเคมี สิ่งแวดล้อมสุขภาพ ด้านสาธารณสุขเข้าไปเกี่ยวข้องเสมอ โดยส่วนตัวเสนอว่า ต้องมีกองทุนความเสี่ยงดูแลประชาชนและต้องมีกระบวนการประเมินผลเสี่ยง 3 ขั้นตอน คือ 1. ประเมินความเสี่ยงก่อนลงทุน เพื่อป้องกันการปฏิเสธความรับผิดชอบของผู้ประกอบการเมื่อเกิดผลต่อสุขภาพขึ้น 2. ประเมินความเสี่ยงระหว่างการลงทุน เช่น ตรวจผล น้ำ พืชทางการเกษตร และตรวจคัดกรองกรณีเจอความผิดปกติต้องเร่งแยกผู้ป่วยออกจากคนปกติ 3. ประเมินผลหลังการประกอบกิจการเพื่อเปรียบเทียบผลก่อนการดำเนินการว่าแตกต่างกันอย่างไร เช่น ตรวจหาสารหนูในชาวบ้านก่อนและหลังผลเป็นอย่างไร เมื่อจำเป็นต้องรักษาร่างกายจากผลกระทบก็จะได้ยืนยันกับผู้ประกอบการให้รับผิดชอบได้ หากผู้ประกอบการปฏิเสธรัฐก็ควรฟ้องแทนประชาชนได้

“ประเทศไทยไม่ใช่ ขณะนี้ใครเจอสาร ใครเดือดร้อนต้องดิ้นรนหาคนช่วยเหลือและต่อสู้กันเอง ขณะที่เมื่อเกิดการเจ็บป่วยก็ใช้กองทุนสุขภาพของคนทั้งประเทศ ทั้งที่ปัจจัยการเจ็บป่วยไม่ได้ครอบคลุมขนาดนั้น ดังนั้นจึงต้องปรับโครงสร้างการลงทุนในธุรกิจที่มีผลต่อสุขภาพใหม่ทั้งระบบ”น.ส.สมพร กล่าว

ด้านนางอารมย์ คำจริง ผู้ประสานงาน เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ทองคำ และ กลุ่มพิทักษ์สิ่งแวดล้อมอำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก กล่าวว่า ขณะนี้ผลการตรวจเลือดของชาวบ้านที่อยู่รอบเหมืองทองคำ พบมีสารโลหะหนักทั้งแมงกานิส และสารหนูมีทั้งหมด 40 คน โดยส่วนอยู่ใกล้เหมืองรัศมี 10 กิโลเมตร ซึ่งชาวบ้านมีความกังวลต่อภาวะผิดปกติอย่างมาก บางคนยังไม่ได้รับการตรวจแต่ก็กลัวและพยายามหาวิธีตรวจกันทุกชุมชน แต่ค่าใช้จ่ายสูงมาก ชาวบ้านไม่มีความสามารถจะดำเนินการได้

นางอารมณ์กล่าวว่า นอกจากนี้ประเด็นที่น่าสนใจ คือ มีชาวบ้านตำบลวังโพรง อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก ที่อยู่ต้นน้ำ ใกล้ถูเขา แต่กลับพบสารโลหะหนัก ทั้งที่ไม่มีความเป็นไปได้ในการรับมลพิษจากน้ำที่ไหลลงแหล่งน้ำชุมชน ชาวบ้านจึงตั้งข้อสงสัยไปสารพัดว่าอาจรับจากอากาศ เพราะหลายคนไม่มีความรู้ ซึ่งปัญหานี้ยังไม่รู้ว่าต้องดำเนินการในการขอตรวจหาสาเหตุได้ที่ใด แต่จะต้องเร่งหาข้อมูลให้ได้ โดยภายในวันที่ 16 มกราคมนี้ จะมีโอกาสพบแพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ก็อาจขอคำปรึกษาเพิ่มเติม

—————–

On Key

Related Posts