ไม่ใช่พิพิธภัณฑ์แสนจืดชืด หรือศูนย์การเรียนรู้น่าเบื่อหน่าย หากแต่เป็นโรงเรียนมีชีวิต สอนโดยครูชื่อแม่น้ำโขง
ห้องเรียนริมฝั่งโขง
มองผิวเผิน บ้านไม้ใต้ถุนสูงบนเนินเขาริมแม่น้ำโขง อ.เชียงของ จ.เชียงราย หลังนี้ ไม่ต่างอะไรจากเรือนพักอาศัยของชาวบ้าน
เครื่องมือหาปลาจำพวกกะตั้ม ซอน สุ่ม ตุ้มเอี่ยน แห้วกบ และเบ็ดหลากชนิดแขวนบนข้างฝา แคร่มุงหลังคาไว้เอนกาย ครัวแคบๆ สวนผักแปลงเล็กๆ กองขี้เถ้าควันโชยบางเบาคล้ายกับไฟเพิ่งมอดลงไม่นาน
มีเพียงตัวอักษรหวัดๆบนป้ายไม้ “โฮงเฮียนแม่น้ำของ (Mekong School)” บ่งบอกให้ผู้มาเยือนรู้ว่าที่นี่คือโรงเรียน
“ไม่ใช่พิพิธภัณฑ์ ไม่ใช่ศูนย์การเรียนรู้ที่เอาโปสเตอร์มาแปะๆแล้วให้คนมาแหงนคอดู แต่มันคือโรงเรียนมีชีวิต ใครอยากรู้จักแม่น้ำโขง ไม่ต้องไปไหน มาที่นี่ มาดู มาเห็น มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สัมผัสกับบรรยากาศจริงๆ โดยมีธรรมชาติเป็นผู้สอน
ต้องใช้คำว่า “สถาบันองค์ความรู้ท้องถิ่นโฮงเฮียนแม่น้ำของ” ที่นี่มีห้องสมุดที่รวบรวมผลงานวิจัยทุกชิ้นเกี่ยวกับแม่น้ำโขงไว้ให้เข้ามาค้นคว้า มีห้องประชุมให้เครือข่ายคนทำงานอนุรักษ์มาพบปะหารือกัน มีห้องเรียนที่เรียกว่าวิหารแห่งการเรียนรู้ ให้คนที่สนใจมานั่งฟังวิทยากรบรรยาย”
น้ำเสียงแหบแห้ง ผมเผ้าหนวดเครากระเซิง ร่างผอมแกร่งทว่ากระฉับกระเฉงฉับไว เขาล่ะ นิวัฒน์ ร้อยแก้ว หรือ ครูตี๋ ผู้ก่อตั้งโฮงเฮียนแม่น้ำของ
โรงเรียนนี้เกิดขึ้นจากการทำงานอย่างขันแข็งมานานนับสิบปีของเครืข่ายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขงล้านนา จุดมุ่งหมายก็เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้สู่สาธารณชนให้ได้รู้จักและเข้าใจพื้นที่นิเวศวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขงอย่างลึกซึ้ง
“แม่น้ำโขงให้ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นที่วิ่งเล่น เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ เป็นซูเปอร์มาร์เก็ต เป็นแหล่งเรียนรู้ชั่วชีวิต เราภูมิใจในอัตลักษณ์ของเรา ภูมิใจในประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเรา ไม่ว่าระบบนิเวศน์ ศิลปวัฒนธรรม ชาติพันธุ์ ภาษา ความเชื่อและพิธีกรรม จนถึงวิถีชีวิตชาวบ้านที่พึ่งพิงลำนำโขงมาหลายชั่วคน”

เรียนรู้จากสนามจริง — ครูตี๋ย้ำหนักแน่น
“ต้องถามก่อนว่าอยากรู้แค่ไหน ถ้าแค่ รับรู้ มานั่งฟังสัก 2-3 ชั่วโมงก็พอจะรู้ข้อมูลเบื้องต้นแล้ว แต่ถ้าอยากไปขั้นต่อไปคือ เข้าใจ ตระหนัก ปฏิบัติ จนถึง ปรับเปลี่ยน แบบนี้ต้องศึกษาอย่างเข้มข้นจริงจัง ล่องแม่น้ำโขงลงไปดูพื้นที่จริง ไปคุยกับผู้เชี่ยวชาญเลยว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง ไปดูน้ำขึ้นน้ำลง ดูเกาะแก่งต่างๆ อยากรู้เรื่องผลกระทบจากการหาปลา การทำเกษตรกรรมริมฝั่ง ก็ลงพื้นที่ชุมชน คุยกับคนหาปลา คนขับเรือ พ่อแก่แม่เฒ่า ทั้งหมดเป็นครูที่ดีที่สุดจะหาจากไหนไม่ได้อีกแล้ว”
อากาศสดชื่น ลมพัดรวยรื่น แม่น้ำไหลเอื่อย ยากจะปฏิเสธว่านี่คือห้องเรียนที่มีทิวทัศน์สวยไม่แพ้โรงเรียนใดในโลก
ล่องเรือ กินข้าวป่า เสาะหาความรู้
ตะวันบ่ายคล้อย แสงแดดอบอุ่น นิวัฒน์พาคณะผู้มาเยือนกว่ายี่สิบชีวิตขึ้นเรือหางยาวล่องไปตามลำน้ำโขง ชมทัศนียภาพอันสงบงาม ผ่านช่องเกาะแก่ง ผ่านหาดทราย พลางชี้ให้ดูรีสอร์ทที่กำลังก่อสร้างและแปลงผักที่ชาวบ้านปลูกไว้
ความน่าอัศจรรย์อยู่ตรงการสอดแทรกความรู้ลงไปในทุกบทสนทนา จะพูดเรื่องปลา เกาะแก่งหินผา ต้นไม้ใบหญ้า ก็สามารถเชื่อมโยงเข้ากับปัญหาการสร้างเขื่อนได้อย่างแนบเนียน
“เอาง่ายๆ จับปลาสักตัวจากแม่น้ำโขงขึ้นมาทำกับข้าว แค่นี้ก็สามารถเล่าเรื่องได้มากมายไม่รู้จบ อย่างปลาแข้ที่เราเพิ่งจับมา ก็สอนได้ว่าเป็นปลาหนัง หากินตามหาดหิน ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 60-70 โล ทำลาบ ต้มยำ หรือลวกจิ้มก็ได้ ขายในตลาดได้กิโลละ 300 กว่าบาท ได้ทั้งความรู้เชิงประวัติศาสตร์ ประมงพื้นบ้าน พันธุ์ปลา อาหารการกิน ยันเศรษฐกิจชุมชน
คุณรู้ไหม ทุกเกาะแก่งมีชื่อเรียกขานทั้งนั้น หลายปีก่อนผมล่องเรือไปสำรวจเกาะแก่งในแม่น้ำโขงตามเส้นทางเชียงแสน-เชียงของนาน 8 วัน 8 คืน พบว่ามีทั้งหมด 435 ชื่อ บ้างตั้งตามลักษณะพื้นที่ บ้างมาจากตำนานพื้นบ้าน นักวิชาการบางคนบอกว่าเป็นแค่หินโสโครกไร้ประโยชน์ เอะอะจะระเบิดทิ้งลูกเดียว ที่ไหนได้นี่แหละเขื่อนธรรมชาติดีๆนี่เอง ช่วยชะลอน้ำ เป็นที่อยู่ของพืชของปลาหลายชนิด ถ้าปล่อยให้มีการระเบิดแก่ง ตลิ่งก็จะพัง ปลาก็จะหาย ไก สาหร่ายแม่น้ำโขงที่ชาวบ้านนิยมนำไปปรุงอาหารก็จะหมดไปด้วย”
เรือหางยาวล่องผ่านแก่งไก่ซึ่งในอดีตเคยจะถูกระเบิดทิ้ง ทว่าเจอแรงต้านจากชาวบ้าน โครงการจึงล้มเลิกไป บัดนี้เหลือเพียงเสาปูนที่เปรียบเสมือนอนุสรณ์เตือนใจให้ทุกคนไม่ลืมเหตุการณ์ครั้งนั้น

ครูตี๋ผายมือไปยังฝั่งลาว ต้นงิ้วยืนเรียงรายเป็นทิวแถว
“ช่วงนี้ดอกงิ้วสีแดงสดบานสะพรั่งไปทั่ว เด็กๆจะพากันสะพายถุงปุ๋ย แหงนคอใต้ต้นงิ้ว รอคอยให้ดอกร่วงหล่นลงพื้น แล้วเก็บไปขายต่อในราคากิโลกรัมละ 100 บาท ร้านค้าที่รับซื้อจะเด็ดกลีบดอกทิ้ง คัดเหลือแต่ช่อเกสร ฉีกเป็นริ้ว ตากแดด ท้ายสุดกลายเป็นส่วนผสมในชามขนมจีนน้ำเงี้ยวที่เรากินกัน แต่วันนี้ เมื่อจีนรุกคืบกว้านซื้อที่ดินลาวบริเวณริมโขงพัฒนาเป็นบ่อนกาสิโน รีสอร์ท ท่าเรือ หมู่บ้านจัดสรร ถนนหนทาง ต้นงิ้วสีแดงสดถูกโค่นต้นแล้วต้นเล่า อีกไม่นานต้นงิ้วจะหมดป่า อาชีพคนเก็บดอกงิ้วก็จะสูญพันธุ์ วิถีชีวิตดั้งเดิมคงถึงคราวอวสาน”
ในที่สุดเรือหางยาวก็มาจอดเทียบบริเวณหาดทรายขาวสะอาดสอ้าน วงข้าวป่าบรรเลงขึ้น ณ บัดนั้น ต่างช่วยกันก่อไฟย่างหมูย่างปลา ปูผ้าใบล้อมวงพูดคุยกันอย่างครื้นเครง บ้างหยิบกีต้าร์ขึ้นเล่น บ้างปลีกวิเวกขอหลบไปหามุมสงบส่วนตัว
“เอ้า เสพ เสพทุกสิ่งทุกอย่าง สายลม แสงแดด สายน้ำ ขุนเขา ปลดปล่อยจิตวิญญาณออกมา”
ครูใหญ่โฮงเฮียนแม่น้ำของยืนอ้าแขนราวจะโอบกอดสายลม เขาหลับตาพริ้มและยิ้มอย่างมีความสุข
ฝันใหญ่ของนักต่อสู้เพื่อแม่น้ำโขง
คืนนั้น ขณะกำลังนั่งผิงไฟแก้หนาว ครูตี๋เปิดประเด็นเกี่ยวกับเรื่องการสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขงขึ้นมาอย่างมีอารมณ์
“เด็กสมัยนี้น่าเป็นห่วง รู้เร็ว รู้ไกล จนลืมรากเหง้าของตัวเอง จริงอยู่ที่มนุษย์ต้องเรียนรู้เพื่อพัฒนาไปข้างหน้า แต่ที่สำคัญคืออย่าลืมตัวตน อย่าลืมรากเหง้าความเป็นมา มนุษย์ไม่ได้เกิดมาจากกระบอกไม้ไผ่ กว่าจะเป็นตัวตนของเราในวันนี้ต้องผสมผสานสิ่งมากมายเข้าด้วยกัน เราต้องรู้ว่าเรามีทุนอะไรบ้าง ทุนทางวัฒนธรรม ทุนทางสิ่งแวดล้อม ทุนทางประวัติศาสตร์ แล้วค่อยคิดวางแผนพัฒนาไปข้างหน้า แต่นี่คุณไม่รู้อะไรข้างหลังเลย จะไปแต่ข้างหน้าอย่างเดียว แถมเอาของคนอื่นมาใส่ สุดท้ายคุณจะไม่เหลืออะไรที่เป็นของตัวเองเลย ทั้งหมดนี้มันส่งผลให้การพัฒนามันอัปลักษณ์ ผิดทิศผิดทางอย่างที่เกิดขึ้นทุกวันนี้”
ภัยคุกคามแม่น้ำโขงอันดับหนึ่งยามนี้หนีไม่พ้นการสร้างเขื่อน

“เขื่อนเป็นตัวเร่งให้เกิดวิกฤติในแม่น้ำโขง ถามว่าต้องใช้พลังงานไฟฟ้าขนาดนั้นเชียวหรือ ถึงขนาดต้องสร้างเขื่อนถึงยี่สิบเขื่อนในแม่น้ำโขง ไฟฟ้าที่ได้จะไปใช้กับใคร ปลายทางของจริงๆไทยเองก็ไม่ได้ประโยชน์ด้วยซ้ำ ทัศนคติของคนที่มองแม่น้ำโขงแบ่งเป็น 3 กลุ่ม หนึ่ง ผู้ที่อาศัยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับแม่น้ำโขง นับถือแม่น้ำโขงเป็นแม่ คนที่รู้จักแม่น้ำโขงจริงคือกลุ่มนี้ สอง คนที่ห่างจากแม่น้ำโขง หมายถึงชนชั้นกลางที่รู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง บางคนมองว่าต้องอนุรักษ์ แต่บางคนไม่สนใจเลย
และกลุ่มที่สาม นายทุนกับรัฐ พวกนี้ร้ายที่สุดและอยู่ไกลที่สุด แต่เห็นได้ชัดว่าการพัฒนาที่เกิดขึ้นทุกครั้ง กลุ่มคนที่อยู่ไกลที่สุดกลับมีอำนาจมากที่สุดในการจัดการ ทั้งที่ผู้ที่ต้องตัดสินใจว่าแม่น้ำโขงเป็นอย่างไรคือคนลุ่มแม่น้ำโขงที่อยู่ใกล้สุด สิ่งที่ต้องคิดต่อไปก็คือจะทำยังไงคนสองกลุ่มแรกต้องร่วมมือกันเพื่อต่อสู้กับคนกลุ่มที่สาม ผมว่าชนชั้นกลางคือผู้ที่จะตัดสินเรื่องสิ่งแวดล้อมในบ้านเมืองนี้ได้ ถ้าท้องถิ่นเดินหน้าแล้ว ชนชั้นกลางเข้าใจ มันใช่เลย”เขาตบเข่าฉาด
14 มีนาคมที่จะถึงนี้ ตรงกับวันหยุดเขื่อนโลก ครูตี๋-นิวัฒน์ ร้อยแก้วจะประกาศเจตนารมณ์ในการก่อตั้งโฮงเฮียนแม่น้ำของต่อหน้าชาวบ้านที่มาร่วมงาน
ถือเป็นการเปิดตัวต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก
นี่คือความฝันของคนตัวเล็กๆที่หวังจะสร้างแหล่งเรียนรู้มีชีวิตให้คนรุ่นต่อไปได้รู้จัก เข้าใจ และตระหนักถึงรากเหง้าความเป็นมาของสายน้ำโขง
มหานทีอันยิ่งใหญ่และงดงามที่ควรค่าแก่ปกป้องรักษาไว้สืบไปชั่วลูกชั่วหลาน
————
เรื่องและภาพ อินทรชัย พาณิชกุล
โพสต์ทูเดย์ 4 กพ 58
http://bit.ly/1uXjjat





