
เมื่อ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2558 นายมะดาวี เด็งโด สมาชิกเครือข่ายการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยเทือกเขาบูโด และเป็นหนึ่งในชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาประกาศเขตอุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี ได้เปิดเผยถึงผลการประชุมร่วมกับศูนย์อำนวยการบริหารราชการจังหวัดชายแดน ภาคใต้(ศอ.บต.) และหน่วยงานระดับจังหวัดที่เกี่ยวข้อง ในการแก้ไขปัญหาที่ดินเมื่อวันที่11 กุมภาพันธ์ที่่ผ่านมาว่า ขณะนี้กฤษฎีกาได้ตีความออกมาแล้วว่า ศอ.บต. ไม่สามารถใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.การบริหารราชการจังหวัดชายแดนใต้ พ.ศ.2553 มาตรา 9(4) ในการแก้ปัญหานี้ โดยเฉพาะกระบวนการพิสูจน์สิทธิ์บางกรณีที่ดำเนินการไม่ได้ด้วยกฏหมายปกติ แต่ยังคงให้ยึดมติ ครม. 14 ตุลาคม 2551 ที่ให้ผู้ที่มีเอกสารสิทธิ์ สค.1, นส.3, นส.3ก และใบเหยียบย่ำที่ดิน สามารถตัดโค่นต้นยางพาราเก่าได้ไม่เกินร้อยละ 4 และต้องปลูกทดแทน ซึ่งเบี้องต้นจะให้ชาวบ้านนำเอกสารสิทธิ์ไปตรวจสอบกับสำนักงานที่ดินแต่ละอำเภอว่า ต้นขั้วนั้นตรงกับฉบับที่ชาวบ้านถือหรือไม่ โดยให้เสร็จสิ้นภายในเดือนนี้ ซึ่งจะเป็นการยืนยันสิทธิ์ให้ชัดเจนและเป็นการป้องกันการสวมเอกสารสิทธิ์ที่ดินปลอม ส่วนแปลงที่ดินทับซ้อนที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์นั้น จะต้องนำเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สิทธิ์ของคณะกรรมการร่วมระดับอำเภอที่จะมีการแต่งตั้งขึ้นในอนาคต
นายมะดาวี กล่าวต่อว่า แม้มติ ครม. 14 ตุลาคม 2551 จะให้ชาวบ้านสามารถตัดโค่นต้นยางเก่าและปลูกทดแทนได้ แต่การเคลื่อนย้ายไม้ออกมานั้นยังคงขัดต่อมาตรา 16 ของ พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ จึงจำเป็นต้องเร่งให้มีการตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างชาวบ้านและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการพิสูจน์สิทธิ์ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และหาทางออกต่อข้อขัดแย้งของกฏหมาย รวมทั้งมีการกำหนดแผนดำเนินการที่ชัดเจน จากนั้นอาจให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอต่อรัฐบาลให้มีการพิจารณาเพิกถอนและ กำหนดเขตอุทยานขึ้นใหม่
“ถ้าเราประเมินผลการตีความของกฤษฏีกา ก็เสมือนเป็นการยื้อเวลาของป่าไม้ในการคืนสิทธิ์ที่ดินแก่ชาวบ้าน เราต้องการให้ป่าไม้เร่งดำเนินการสำรวจข้อมูลข้อเท็จจริงให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และนำมาเปรียบเทียบกับข้อมูลที่ภาคประชาชนจัดทำไว้พร้อมนานแล้ว เพราะข้อมูลภาพถ่ายทางกาศอย่างเดียว ไม่สามารถแยกแยะพื้นที่ป่ากับพื้นที่ทำกินได้ชัดเจน จำเป็นต้องใช้ข้อเท็จจริงเข้ามาร่วมในการพิสูจน์สิทธิ์”
ด้านนายศิโรฒ แวปาโอะ ประธานเครือข่ายแก้ปัญหาที่ดินบูโด-สุไหงปาดี กล่าวว่า ชาวบ้านยืนยันว่าปัญหาต้องได้รับการแก้ไขภายใต้กระบวนการที่มีส่วนร่วม โดยให้ที่ดินทุกแปลงในพื้นที่ทับซ้อนได้เข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สิทธิ์ที่เป็นธรรม และได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายตามแนวทางภายใต้มติ ครม. 14 ตุลาคม 2551 ซึ่งถ้าผลพิสูจน์ออกมาว่าชาวบ้านอยู่มาก่อนการประกาศ พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 หรือ พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 รัฐจะต้องคืนสิทธิ์ที่ดินอยู่อาศัยและที่ดินทำกินให้แก่ชาวบ้าน โดยในระหว่างกำหนดเวลา 30 วันนี้ ชาวบ้านจะเปิดโอกาสให้หน่วยงานรัฐเร่งแก้ปัญหาตามที่ได้ยื่นข้อเรียกร้องไปก่อนหน้านี้ แต่ถ้าภายในวันที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ รัฐยังไม่มีการกำหนดแผนการแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรมและไม่มีกรอบเวลาชัดเจนเป็นที่น่าพอใจ ชาวบ้านอาจจะออกมาเดินหน้าปฏิบัติการณ์โค่นต้นยางทั่วทั้ง 3 จังหวัดชายแดนใต้ ตามมติ ครม. 14 ตุลาคม 2551 อีกครั้ง เพราะชาวบ้านจะไม่อาจยอมทนตกเป็นผู้ถูกกระทำจากการกระทำของรัฐอีกต่อไป
นอกจากนี้ ภายหลังจากมีการปฏิบัติการโค่นต้นยางครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมานั้น Transbordernews ได้พยายามติดต่อไปยัง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ปิยะกิจถาวร รองเลขาธิการ ศอ.บต. ซึ่งเป็นตัวแทนภาครัฐที่ลงติดตามปัญาหาในพื้นที่ เพื่อสอบถามถึงแนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าวหลายครั้ง แต่ได้รับการปฏิเสธที่จะให้ความเห็นในเรื่องนี้
////////////////////