Search

สปช.ระดมสมองทำยุทธศาสตร์น้ำ “ปราโมทย์”จวกแผนรัฐไม่สอดคล้องประชาชน คปก.แนะปรับฐานคิด-กระจายอำนาจจัดการ

11015317_874054899304463_1647071360_n
เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ กทม. คณะกรรมาธิการวิสามัญการมีส่วนร่วมและรับฟังความคิดเห็นของประชาชน สภาปฎิรูปแห่งชาติ ได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็น เรื่อง “การจัดทำยุทธศาสตร์และกฏหมายการบริหารจัดการน้ำแบบมีส่วนร่วม” โดยมีประชาชนจากลุ่มน้ำต่างๆและผู้ที่เกี่ยวข้องประมาณ 300 คนเข้าร่วม

นายสมเกียรติ มีคติธรรม ตัวแทนจากเครือข่ายลุ่มน้ำภาคเหนือกล่าวว่า ภาพที่เห็นอยู่ทุกที่ในท้องถิ่นคือประชาชนไม่มีส่วนร่วมจัดการน้ำอย่างแท้จริง จึงคิดถึงกลไกลการมีส่วนร่วมให้ชาวบ้านเข้าไปจัดการน้ำ เพราะในแผนจัดการน้ำของรัฐบาล ยังไม่เห็นตัวแทนของชาวบ้านชัดเจน โดยคณะกรรมการจัดการน้ำชาติที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธานควรย้ายไปสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ส่วนคณะกรรมการลุ่มน้ำควรมีภาคประชาชนเข้าไปเพิ่มมากขึ้น โดยชาวบ้านในพื้นที่คัดเลือกกันขึ้นมาซึ่งทำให้การจัดทำแผนตอบสนองอย่างแท้จริง

นายอภินันท์ บุญทอน ตัวแทนเครือข่ายลุ่มน้ำขนาดเล็กภาคอีสาน กล่าวว่า ในส่วนของภาคประชาชนอีสานพยายามแสวงขบวนการมีส่วนร่วมอยู่เสมอ แต่ที่ผ่านมาได้เข้าร่วมน้อยมากเพราะเป็นเหมือนฉากประกอบหนังเฉยๆ ทั้งๆ ที่แผนจัดการน้ำของอีสานใหญ่พอสมควร ทั้งลุ่มน้ำโขง ชี และมูล ซึ่งควรมีกลไกในระดับปฎิบัติการเกิดขึ้น และองค์กรที่ดูแลนั้น ไม่ควรมีแต่องค์กรใหญ่เท่านั้น ควรมีองค์กรย่อยในระดับพื้นที่ด้วย

นายศศิน เฉลิมลาภ เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร กล่าวว่าในฐานะอนุรักษ์ แทบจะไม่มีเวทีเข้าไปมีส่วนร่วมกับบริหารจัดการน้ำ เพราะมักจะมีโครงการสร้างเขื่อนมาแล้ว พอนักอนุรักษ์ไปพูดไม่เห็นด้วยก็จะกลายเป็นผู้ร้าย ทั้งๆ ที่ควรมีพื้นที่เล็กๆ ให้ได้คุยกันก่อน

รศ.ดร.บัญชา ขวัญยื้น ผู้แทนวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การบริหารจัดการน้ำในประเทศไทยเป็นปัญหาสะสมมากว่า 50 ปี แต่ 30 ปีที่ผ่านมา ปัญหาเริ่มเห็นชัดโดยเฉพาะการไม่มีเอกภาพ และปัญหาการบูรณาการ นอกจากนี้ยังเป็นปัญหาเรื่องความเป็นอิสระเพราะภาคการเมืองเข้มแข็งมากและเข้าไปแทรกแซงหมด เราไม่มียุทธศาสตร์ชาติรวมเรื่องน้ำ ส่วนที่มีคือฝ่ายปฎิบัติเป็นคนทำ ทั้งวางแผนสร้างเขื่อนและเป็นผู้ลงมือสร้างเขื่อนเองด้วย ดังนั้นควรมีแผนชาติ และมีกฎหมายที่กำหนดองค์กร

“ยุทธศาสตร์ชาติเป็นเรื่องใหญ่ เราควรมองในเรื่องรายละเอียดเกี่ยวกับน้ำทั้งหมด วิเคราะห์ทุกจุดได้ แต่ละลุ่มน้ำมีปัญหาอะไรบ้าง ปัญหารุนแรงแค่ไหน ทุกวันนี้มีการนำเสนอตลอดเวลาว่าปีหนึ่งฝนตกเท่าไหร่ กักเก็บน้ำเท่าไหร่ ใช้น้ำได้เท่าไหร แต่เรามีขีดจำกัดมากมาย ถ้าเราเอาความต้องการน้ำทุกคนมารวมกัน เป็นไปไม่ได้ แต่ต้องคิดว่าศักยภาพและต้นทุนมีเท่าไหร่เพื่อทำแผนได้ ส่วนมาตรฐานควรใช้การบริหารจัดการเป็นหลัก ไม่ใช่ใช้การก่อสร้างเป็นหลักเพราะต้องการงบประมาณจึงทำเช่นนั้น” นายบัญชา กล่าว และว่าที่สำคัญคือคนที่สร้างยุทธศาสตร์ชาติต้องไม่ใช่หน่วยงานรัฐ

นายไพโรจน์ พลเพชร 1 ในคณะกรรมการปฎิรูปกฏหมาย(คปก.) กล่าวว่า หน่วยงานระดับกรมเป็นเจ้าพ่อตัวจริงใจ ทั้งในการวางแผนและจัดการงบประมาณในการจัดการน้ำ เพราะเรามีกฎหมายในยุคที่ราชการเป็นใหญ่ และเขาเชื่อว่าทรัพยากรน้ำเป็นของรัฐ เราต้องเปลี่ยนความคิดว่าน้ำเป็นของส่วนรวม โดยคปก.ได้จัดทำกฎหมายน้ำมาตั้งแต่ปี 2555 โดยเปลี่ยนฐานความคิดว่าน้ำไม่ใช่เป็นของกรมน้ำหรือกรมชลประทาน แต้น้ำเป็นของทุกคน และกระจายอำนาจไปทุกกลุ่ม ไม่ใช่แค่องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น(อปท.) แต่กระจายไปถึงทุกคน และสิทธิขั้นพื้นฐานประชาชนต้องมีน้ำอุปโภคบริโภคเพื่อความอยู่รอดซึ่งข้อนี้ต้องมาก่อน ขณะเดียวกันใครที่ก่อผลร้ายกับน้ำก็ต้องรับผิดชอบด้วย

นายปราโมทย์ ไม้กลัด อนุกรรมาธิการปฎิรูปการจัดการทรัพยากรน้ำ ในคณะกรรมาธิการปฎิรูปทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์ถึงแผนยุทธศาสตร์การจัดการน้ำของภาครัฐที่เตรียมดำเนินการว่า ส่วนใหญ่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงและความต้องการของประชาชน เพราะยุทธศาสตร์ดังกล่าวคิดโดยภาคราชการฝ่ายเดียว ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วควรเริ่มต้นด้วยการให้ประชาชนคิดและมีส่วนร่วมเพราะประชาชนรู้ปัญหาดีว่าตัวเองเดือดร้อนอะไร แม้ที่ผ่านมาในหลักการจะพูดถึงการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนกันมานาน แต่กลับไม่ได้ทำกัน ตนจึงมองว่าควรมีการทำกฎหมายแม่บทก่อนเพื่อกำหนดให้ตัวแทนจากภาคส่วนได้เข้าร่วม ไม่ใช่มีแต่ภาคราชการฝ่ายเดียว

“เราต้องสร้างรูปแบบก่อน เริ่มโดยการปฎิรูปกฏหมาย เพราะไม่เช่นนั้นหน่วยงานราชการก็ไม่ทำกัน แผนจัดการน้ำที่รัฐบาลกำลังทำอยู่เป็นการทำโดยหน่วยปฎิบัติระดับกรมเท่านั้น ซึ่งยังผูกติดอยู่กับการทำโครงการ ทำให้ตอบโจทย์ไม่ได้ แต่ในรายละเอียดไม่มี จึงควรมีการปฎิรูป” นายปราโมทย์ กล่าว

////////////////////

On Key

Related Posts

นักวิชาการแนะรัฐไทยเร่งหารือประเทศลุ่มน้ำโขงหลังตรวจพบสารหนูเกินค่ามาตรฐานใน จ.เลย-หนองคาย-บึงกาฬ-นครพนม ภาคประชาชนจี้รัฐแจ้งความจริงให้ชาวบ้านทราบ-หาแนวทางปฎิบัติ-หวั่นหลายเมืองใช้น้ำโขงผลิตน้ำประปาได้รับผลกระทบ