บทความโดย ระพี สาคริก
สำหรับบุคคลผู้ที่ยังพอจะรู้สึกตัวได้ว่า ตนเป็นคนเหมือนทุกคน ควรจะตั้งคำถามขึ้นมาถามใจตนเองก่อนอื่นว่า หากรากฐานจิตใจคนหลุดพ้นจากพื้นดิน อะไรจะเกิดขึ้นแก่ชีวิตตนเองและสังคม? จากข้อความประโยคนี้ หากสามารถค้นหาคำตอบได้ ย่อมเป็นประโยชน์แก่ชีวิตตนเองและสังคมเป็นอย่างยิ่ง
ปัจจุบันนี้คนส่วนใหญ่มักขาดความสนใจที่จะค้นหาความจริงจากประเด็นดังกล่าว เช่นที่พูดกันว่า คนลืมตัว ซึ่งนับวันจะมีเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ ดังนั้นคนทั่วไปจึงมักคิดว่าตนเป็นผู้เก่งกล้าสามารถในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง อีกทั้งยังมีนิสัย ยกตนข่มผู้อื่น และมีความเห็นแก่ตัวเพิ่มมากยิ่งขึ้น แทนที่จะมีความอ่อนน้อมถ่อมตนจากใจจริง
ดังเช่นที่พบว่าคนส่วนใหญ่มักเรียกตนเองว่า ฉันเป็นนักอะไรต่อมิอะไรเช่น นักเขียน นักพูด นักการเมือง และนักอื่นใดสุดแล้วแต่จะนำมาใช้เรียก แทนที่จะเป็นผู้รู้เขารู้เรา ซึ่งควรจะหยั่งรู้ความจริงได้ว่า การเป็นนักอะไรต่อมิอะไรนั้นอยู่ที่คนอื่นเขาเรียก แทนที่จะนำมายกตัวเองเพื่อแสดงความเก่งกาจหรือยิ่งใหญ่เหนือผู้อื่นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ชีวิตเราแต่ละคนมีความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า เกิดมาจากพื้นดิน และวิถีชีวิตย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเป็นวัฏจักร ดังนั้นหลังจากตายแล้วก็คืนทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเป็นองค์ประกอบลงสู่พื้นดินอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ธรรมชาติของคนหาใช่มีแต่เพียงร่างกายเท่านั้นไม่ หากยังมีจิตใจอันถือได้ว่าเป็นรากฐานซึ่งใช้กำหนดทิศทางการดำเนินชีวิต สุดแล้วแต่พื้นฐานของแต่ละคนซึ่งกำหนดให้วิถีทางดังกล่าวเป็นไปในทางสร้างสรรค์หรือทำลาย ซึ่ง ณ จุดนี้ย่อมมีผลเกิดขึ้นแก่ตนเอง ก่อนที่จะเกิดขึ้นแก่สิ่งอื่นซึ่งอยู่ในลภาพแวดล้อมอันเป็นธรรมชาติรวมทั้งสังคมด้วย
ดังนั้นการคืนจิตใจให้กับพื้นดิน และเพื่อนมนุษย์ผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ใกล้ชิดพื้นดิน หากบุคคลใดมีสติปัญญาลึกซึ้งถึงระดับหนึ่ง ย่อมมองเห็นโอกาสที่จะนำปฏิบัติได้ แม้ชีวิตยังคงอยู่ในโลก ยิ่งใครเริ่มต้นได้เร็ว ย่อมถือเป็นมงคลแก่ชีวิตตนเอง
ชีวิตที่ผ่านมาของผู้เขียน เคยได้ยินคำปรารภที่กล่าวจากบางคนเป็นครั้งคราวว่า การจัดการศึกษาทำให้จิตวิญญาณคนหลุดจากพื้นดิน หรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าวว่า ทำให้เป็นคนหัวสูง ซึ่งช่วงที่ยังเป็นเด็กคงไม่รู้ว่าคำพูดดังกล่าวหมายถึงอะไร แต่ก็จำได้มาจนกระทั่งถึงช่วงหลังๆ
เมื่อหวนกลับไปสำรวจวิถีชีวิตตัวเองเป็นช่วงๆ แล้วทำให้เห็นคำตอบอย่างหนึ่งว่า ความรักในการทำงานโดยมุ่งลงสู่พื้นดิน ทำให้เกิดสติปัญญาจนกระทั่งความหมายของสิ่งที่กล่าวมาแล้วช่วยให้เข้าใจความจริงที่อยู่ในใจตนเองลึกซึ้งยิ่งขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งเกิดความมั่นใจยิ่งขึ้นว่า คำตอบซึ่งค้นหาได้จากการปฏิบัติเป็นสิ่งที่เชื่อถือได้ นอกจากนั้นยังเป็นสัจธรรมร่วมด้วย
ช่วงเวลาที่ผ่านพ้นมานี้ คนที่มีนิสัยนิยมการแข่งขันมักมีผลทำให้ตัวเองสูญเสียความเป็นธรรมชาติ ซึ่งควรหยั่งรู้ได้จากการค้นหาความจริงที่อยู่ในรากฐานจิตใจโดยการมุ่งทำงานทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งมีเหตุผลสานถึงกันอย่างเป็นธรรมชาติ
ไม่เพียงเท่านั้น ผลจากการแข่งขันกันเองระหว่างคนกับคน ยังทำให้เกิดการสูญเสียคุณค่าอันควรมีอยู่ในจิตใจ ซึ่งนับว่าเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตตนเอง แถมยังมีนิสัยชอบนำสิ่งนั้นสิ่งนี้มาอ้างจนเป็นสันดาน
ดังเช่นทุกวันนี้มักใช้คำว่า บูรณาการ เพื่อหวังผลสนองกิเลสแห่งตน โดยที่ไม่รู้ว่าบูรณาการนั้นมีความหมายอย่างไร หากต้องการรวบรัดสิ่งที่เป็นวัตถุซึ่งตนเสพติดเข้าไว้มาใช้ประโยชน์ในการเสพรสชาติให้ตนเองมีโอกาสเสพมากยิ่งขึ้น
ดังนั้นภายใต้หัวข้อที่ว่า “หากรากฐานจิตใจคนหลุดจากพื้นดิน” หรืออีกนัยหนึ่งที่เรามักกล่าวกันว่า การใช้ชีวิตติดพื้นดินอย่างสม่ำเสมอย่อมเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา ช่วยให้สามารถหยั่งรู้ความจริงจากทุกสิ่งทุกอย่างให้เชื่อมั่นได้ว่า เป็นเพียงสิ่งสมมติ อีกทั้งยังมีผลนำไปสู่การสร้างสรรค์ความเจริญทั้งแก่รากฐานจิตใจตนเองและผลงานที่ปรากฏแก่สังคมร่วมด้วย
สัจธรรมที่ได้กล่าวมาแล้วนี้ สามารถนำมาใช้เรียนรู้ความจริงอย่างได้ผลกับทุกคนและทุกสภาพชีวิต รวมทั้งเป็นวิถีทางซึ่งนำไปสู่ความสุขแก่จิตใจตนเองร่วมกับการอยู่ร่วมกันของมนุษยชาติ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเล็กหรือกลุ่มใหญ่มากน้อยแค่ไหน หรืออาจกล่าวว่าเป็นวิถีทางที่ปราศจากกรอบกำหนดใดๆ ทั้งสิ้น
หากจะหมายความถึงอิสระภาพหรือแม้กระทั่งประชาธิปไตย ก็สามารถนำมาใช้อย่างได้ผลโดยไม่ต้องมีสิ่งใดมาตรวจสอบเพื่อยืนยันความจริง เพราะการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวย่อมมีธรรมชาติที่ตรวจสอบใจตนเองร่วมอยู่แล้ว
ในยุคนี้เรามักนำเอาเรื่อง การบริหารและการจัดการ มากล่าวย้ำกันอย่างกว้างขวาง แต่สภาพพื้นฐานของสังคมยุคนี้ อดทำให้สงสัยไม่ได้ว่าเป็นการแสดงออกจากความจริงที่อยู่ในใจหรือนำมากล่าวอ้างเพื่อประโยชน์อย่างอื่น ผู้เขียนไม่อาจหยั่งรู้ถึงเหตุและผลที่อยู่ในรากฐานจิตใจผู้แสดงออกให้ชัดเจนได้ จนกว่ากาลเวลาจะพิสูจน์ตนเองอย่างเป็นธรรมชาติ
วิถีชีวิตของแต่ละคนที่เกิดมาควรมีการเจริญทั้งด้านร่างกายและความรู้ ซึ่งได้รับจากประสบการณ์ชีวิต เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงภายในรากฐานจิตใจตนเอง ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่พ้นการบริหารและจัดการ แต่ผู้บริหารหรือผู้จัดการที่ดีซึ่งควรได้รับการยอมรับจากสังคม ควรเป็นผู้ที่บริหารชีวิตตนเองอย่างได้ผลจนเป็นที่ยอมรับแก่เพื่อนมนุษย์ที่อยู่ร่วมสังคม ซึ่งประเด็นนี้ควรถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดอันจะนำไปสู่ความสำเร็จที่สมบูรณ์ครบถ้วน
แต่ผู้บริหารงานยุคนี้มักสะท้อนผลจากการปฏิบัติ ซึ่งดูเหมือนว่า ยิ่งเจริญเติบโตก็ยิ่งขาดวิถีทางที่นำตนเองลงสู่พื้นดินอย่างเห็นได้ชัดเจน ดังนั้นสิ่งซึ่งตนเชื่อว่า คือความจริงแท้จริงแล้วก็คือข้อมูลซึ่งสะท้อนภาพการหลอกตัวเอง ทำให้บุคคลอื่นถูกหลอก จึงเกิดปัญหาขึ้นแก่สังคมรุนแรงยิ่งขึ้นเป็นลำดับ
นอกจากนั้นบุคคลผู้มีวิถีชีวิตตกอยู่ในสภาพดังกล่าวมักมีความเชื่อมั่นในตนเองสูงเกินเหตุและผล ซึ่งแท้จริงแล้วคือการดำเนินชีวิตบนพื้นฐานสิ่งหลอกลวงมากกว่า อย่างที่มีผู้กล่าวเอาไว้ว่า ผู้ที่ขึ้นไปเป็นใหญ่มักเสียคนเพราะลูกน้อง ซึ่งแท้จริงแล้วเรื่องนี้แก้ได้ไม่ยาก หากผู้ทำหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารงานมีนิสัยรักที่จะทำงานลงสู่ด้านล่างอย่างเด่นชัดและมั่นคงอยู่ได้ ย่อมเป็นคนมีสติสัมปชัญญะ รู้ว่าสิ่งใดคือความจริง สิ่งใดคือของหลอก แม้แต่การแสดงออกต่อผู้อื่นซึ่งควรมีผลมุ่งสู่การสร้างสรรค์หรือทำลายย่อมรู้ได้เองภายใต้จิตสำนึกอันเป็นธรรมชาติ
ทุกวันนี้สภาพการแข่งขันกันทำให้คนขาดการถือสัจจะ หรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าวว่า ขาดความซื่อสัตย์ต่อตนเอง โดยเฉพาะการถือรากฐานจิตใจซึ่งมีความจริงเป็นที่ตั้ง แต่ผู้ที่มีนิสัยลืมตัวมักมองไม่เห็นความสำคัญของจิตใจคน อย่างที่มีคำกล่าวซึ่งได้ยินกันเสมอๆ ว่า ไม่เห็นใจผู้อื่น จึงมักมองคนมุ่งเน้นไปยังร่างกายอันเป็นด้านวัตถุและคิดประหารกันอย่างขาดสติ จากการปฏิบัติของบุคคลลักษณะนี้มักมีแนวโน้มนำไปสู่ความเสียหาย ทั้งแก่ตนเองและสังคมกว้างขวางมากขึ้น
หากหวนกลับไปพิจารณาค้นหาความจริงจากสิ่งที่เป็นมาแล้วในสังคม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ แม้ในระดับโลก ซึ่งควรจะอยู่อย่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน โดยการพึ่งพาสิ่งแวดล้อมอย่างรู้เหตุรู้ผล อันจะเกิดความมั่นคงยั่งยืนในระยะยาว แต่วิถีทางการแข่งขันย่อมมีผลทำให้เกิดความโลภเพิ่มมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ ยิ่งทำให้สิ่งซึ่งมนุษย์เคยใช้เป็นที่พึ่งพาหมดไปเป็นอย่างมากทำให้ขาดสมดุล ก็ยิ่งมีการแย่งชิงกันรุนแรงยิ่งขึ้นเป็นลำดับ
บนวิถีทางดังกล่าว หากรากฐานจิตใจบุคคลใดขาดความเข้มแข็ง ย่อมตกลงไปสู่ห้วงแห่งความหายนะ จนกระทั่งยากที่จะคิดแก้ไข ซึ่งสภาพดังกล่าวย่อมทำให้ชีวิตตนเองห่างจากการรู้คุณค่าของผืนดิน อันเปรียบดุจแม่บังเกิดเกล้าของทุกคนมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ
สภาพดังกล่าวย่อมมี 2 ด้าน ด้านแรกได้แก่สภาพที่อยู่ในรากฐานจิตใจอันควรถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งคือสภาพสังคมภายนอกไม่ว่าจะเป็นภายนอกตนเอง ภายนอกครอบครัว ภายนอกประเทศชาติ จนกระทั่งระดับโลก หากมองที่คุณค่าแล้วย่อมมีผลไม่แตกต่างกัน สำหรับการเรียนรู้
สิ่งที่กล่าวมาแล้วควรจะมีผลช่วยให้แต่ละคนรู้ได้เองว่า ตนควรจะปฏิบัติอย่างไรเพื่อหลุดพ้นจากภาวะที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด หาใช่ว่าผู้ที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างเข้มแข็งเด่นชัดแม้เริ่มตันจากบุคคลเดียว จะมีความหมายในเชิงปัจเจกชนไม่ ในเมื่อผู้ที่ยืนอยู่บนพื้นฐานดังกล่าวสามารถเรียนรู้ได้รอบด้านอีกทั้งมีความลุ่มลึกในการนำปฏิบัติอย่างปราศจากข้อจำกัด
อนึ่ง รากฐานจิตใจบุคคลลักษณะนี้ ควรได้รับการยอมรับว่ามีอิสระอันเป็นที่สุดแล้วสำหรับชีวิต เราจึงไม่ถือว่าเป็นปัจเจกชนในเมื่อทุกคนที่อยู่ในสังคมมีสิทธิ์ที่จะสัมผัสและถือเป็นต้นแบบแห่งการดำเนินชีวิตภายในสังคมซึ่งมีการขยายผลให้ทุกคนได้รับประโยชน์อย่างอิสระ เราจึงน่าจะถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นใหม่จุดหนึ่งระหว่างปัจเจกชนที่สานถึงการก่อกำเนิดของมวลชนมากกว่า





