เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2558 เวลา 16.00 น. ณ สำนักงานที่ทำการอำเภอเมือง จังหวัดสตูล พลเอกสุรินทร์ พิกุลทอง ประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาความมั่นคงในที่อยู่อาศัย พื้นที่ทำกิน และพื้นที่ทางจิตวิญญาณของชุมชนชาวเล สำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องการถือครองที่ดินบนเกาะหลีเป๊ะ อาทิ กรมสอบวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ผู้แทนสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช) เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา ผู้แทนชาวเลเกาะหลีเป๊ะ ผู้แทนผู้ประกอบการ เจ้าหน้าที่ทหาร ฯลฯ โดยใช้เวลาประชุมทั้งหมดประมาณ 2 ชั่วโมง
ทั้งนี้ที่ประชุมได้ข้อสรุปใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1. เร่งรัดให้ตัวแทนคณะกรรมการในการตรวจสอบเรื่องเอกสารสิทธิ์การถือครองที่ดิน ชาวบ้านทำข้อมูลแผนที่ทำมือให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนเมษายนปีนี้ 2. ให้ทุกหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการตรวจาสอบแผนที่ทางอากาศเร่งรัดการนำเสนอข้อมูลด้านแผนที่แก่ ดีเอสไอ เพื่อให้สามารถตรวจสอบการถือครองเอกสารสิทธิได้ภายในเดือนพฤษภาคม ซึ่งได้แก่อุทยานฯ สำนักที่ดินสตูล และชาวบ้านที่ทำแผนที่ทำมือ
พลเอกสุรินทร์ ให้สัมภาษณ์ว่า เบื้องต้นรับทราบข้อมูลว่าอุทยานฯ ได้ดำเนินคดีจับกุม และฟ้องร้องเพิ่มเติมกับผู้ประกอบการไปแล้ว 15 ราย และมีตัวแทนชาวบ้านบางส่วนที่ถูกตั้งข้อหาด้วย แต่ข้อมูลที่น่าสนใจ ทั้งจากสำนักงานที่ดินและอุทยานฯ คือ พบว่ามีเอกสารสิทธิ นส.3 สองรูปแบบ คือ นส.3 ที่มีการชี้จุดรังวัด และ นส.3 รูปลอย และเอกสารสิทธิ์สวมทับ ซึ่งภายหลังการรายงานข้อมูลทั้งหมดนั้น พบว่ามี นส.3 เกินจาก สค.1 มากถึง 200 กว่าไร่ ส่วนนี้ยังไม่มีใครมาตามยืนยันก็จะทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากส่วนนี้เพื่อตรวจสอบต่อไป ขณะที่ข้อมูลความมั่นคงทางที่ทำกินและที่อยู่อาศัยของชาวเลที่ชาวบ้านรายงานมี 255 ราย เป็นข่าวดีอย่างยิ่งว่าที่ดินนั้นมีเหลืออย่างแน่นอน
“อุทยานฯ จะเหมารวมที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ หรือที่แจ้งเท็จเอกสารสิทธิว่าเป็นของตนเองทั้งหมดไม่ได้ เชื่อว่าที่ดินบางแห่งมีเจ้าของ อาจเป็นชาวเล หรือผู้ประกอบการที่ซื้อต่อ หรือผู้ประกอบการที่ได้รับมรดกจากบรรพบุรุษ หรือใครก็ได้ ดังนั้นชาวเลมีความหวังเหลืออยู่แน่ๆ ผมขอเวลาอีกระยะให้ดีเอสไอตรวจสอบเพิ่มเติม พิสูจน์หลักฐานที่แต่ละฝ่ายส่งเสียก่อน แล้วค่อยมาพิจารณากันภายหลัง” พลเอกสุรินทร์ กล่าว
ด้านพันตำรวจโท ประวุธ วงศ์สีนิล ผบ.สำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ดีเอสไอ กล่าวว่า จากหลักฐานที่ส่งมานั้น ทางดีเอสไอวิเคราะห์แล้วว่า ทางเดียวที่พิสูจน์ได้ชัดเจน คือจะใช้แผนทีปี 2493 ซึ่งเป็นแผนที่ทางอากาศก่อนการประกาศแบ่งที่ดิน สค.1 และแผนที่ทางอากาศหลัง 1 ธันวาคม 2497 หลังประกาศ สค.1 เพื่อพิสูจน์เปรียบเทียบกับการถือครองที่ดินของคนบนเกาะหลีเป๊ะ โดยไม่แบ่งแยกว่าใครถือครอง หากพบว่า ประชาชนที่ถือครองที่ดินในรูปแบบ สค.1 แล้วขอออกเอกสารเป็น นส.3 จะต้องมีหลักฐานการใช้ที่ดินเพื่อทำประโยชน์ในปี 2493 หากพบว่าแผนที่ทางอากาศไม่ปรากฎพื้นที่ที่บุคคลนั้นๆแจ้ง ก็ถือว่า ปลอมแปลงเอกสาร ซึ่งทุกข้อมูลจะตรวจสอบ 2-3 ครั้งควบคู่กับแผนที่ที่ผู้เชี่ยวชาญของกรมอุทยานฯ แจ้ง
////////////////