ความเห็นของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ต่อการดำเนินงานก่อสร้างโครงการเขื่อนไซยะบุรี
ด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ อันเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ และจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบการกระทำและการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนเมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๔ ว่า โครงการก่อสร้างเขื่อนไซยะบุรีในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ซึ่งดำเนินการก่อสร้างโดยภาคเอกชนของประเทศไทย เพื่อขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนรับทราบ ไม่มีกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน อีกทั้งไม่มีการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพทั้งในประเทศไทยและทั้งการดำเนินการข้ามพรมแดน ทั้งๆ ที่โครงการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อประชาชนในหลายจังหวัดของประเทศไทยที่อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง โดยในการตรวจสอบกรณีนี้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการด้านสิทธิชุมชนและฐานทรัพยากรดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามอำนาจหน้าที่ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ตามมาตรา ๒๕๗ วรรคหนึ่ง (๑) และพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๑๕ (๒)
เนื่องจากในระหว่างตรวจสอบคณะอนุกรรมการด้านสิทธิชุมชนและฐานทรัพยากร ได้รับการร้องเรียนเพิ่มเติมจากราษฎรว่า ขณะนี้มีความพยายามที่จะดำเนินงานก่อสร้างโครงการต่อไป ทั้งๆ ที่ยังไม่มีการดำเนินการตามกระบวนการตามเงื่อนไขของคณะกรรมการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission – MRC) เกี่ยวกับการดำเนินโครงการก่อสร้างในแม่น้ำโขง อันเป็นข้อตกลงความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของภูมิภาคแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นสาระสำคัญของกระบวนการดำเนินโครงการก่อสร้างเขื่อนไซยะบุรี และทั้งๆ ที่ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลของโครงการต่อสาธารณะอย่างแพร่หลาย ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่คณะรัฐมนตรีและคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติได้มีมติกำหนดให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยต้องดำเนินการก่อนลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากโครงการเขื่อนไซยะบุรี โดยความพยายามในการเดินหน้าก่อสร้างโครงการดังกล่าวที่ไม่คำนึงถึงเงื่อนไขข้างต้น น่าจะมีสาเหตุสำคัญมาจากการที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ Xayaburi Power Company Limited ไปแล้ว เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ ซึ่งคณะอนุกรรมการด้านสิทธิชุมชนและฐานทรัพยากรตรวจสอบพบว่า ทั้งสองประเด็นข้างต้นอาจมีปัญหาดังต่อไปนี้
๑. ปัญหาการละเมิดข้อตกลงตามสัญญารับซื้อไฟฟ้าจากโครงการ กล่าวคือ
๑.๑ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้ให้หลักประกันในสัญญาว่า โครงการเขื่อนไซยะบุรีจะไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และสุขภาพ ของประชาชนทั้งประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และยังได้ระบุอีกว่า ได้จัดให้มีการศึกษาผลกระทบอย่างเพียงพอแล้ว
ซึ่งในประเด็นนี้คณะอนุกรรมการด้านสิทธิชุมชนฯ พบจากการตรวจสอบว่า รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และรายงานศึกษาผลกระทบทางสังคม (SIA) ที่จัดทำโดยบริษัท TEAM Consulting Engineering and Management Co.Ltd. เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๕๓ ไม่มีการศึกษาข้อมูลว่าด้วยผลกระทบข้ามพรมแดน โดยผู้ศึกษาได้ขยายพื้นที่การศึกษาผลกระทบออกไปจากพื้นที่เขื่อนเพียงแค่ ๑๐ กิโลเมตรเท่านั้น โดยไม่ได้มีการประเมินผลกระทบด้านการอพยพของปลา การประมง การเกษตรริมน้ำโขง การใช้น้ำอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะในส่วนของประเทศไทยที่ห่างจากจุดสร้างเขื่อนเหนือขึ้นไป คือ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย และด้านท้ายเขื่อน คือ อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย และยังรวมถึงชุมชนต่างๆ ได้ใช้ประโยชน์จากแม่น้ำโขงในหลายๆ ด้านดังกล่าว ถึง ๘ จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เลย หนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี หรืออาจจะส่งผลกระทบไปตลอดลำน้ำจนถึงปากแม่น้ำโขงในประเทศเวียดนาม โดยข้อเท็จจริงนี้ปรากฏอยู่ในรายงานการทบทวนโครงการก่อนการปรึกษาหารือของเลขาธิการคณะกรรมการลุ่มน้ำโขง วันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๔ ที่มีการระบุว่า มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะมีผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมของประเทศไทย ซึ่งควรจะต้องมีการประเมินผลกระทบเพิ่มเติม และต่อมาเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๔ คณะกรรมการแม่น้ำโขงได้มีมติให้มีการศึกษาและประเมินผลกระทบจากการก่อสร้างเขื่อนไซยะบุรีในฝั่งประเทศไทยก่อนที่จะมีการก่อสร้างโครงการ
๑.๒ ตามสัญญารับซื้อไฟฟ้าดังกล่าวนั้น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้ให้หลักประกันในสัญญาว่า เขื่อนไซยะบุรีจะไม่ตกอยู่ภายใต้การดำเนินการหรือขั้นตอนใดๆ ของคณะกรรมการหรือหน่วยงานตามกฎหมายที่อาจส่งผลกระทบต่อความเป็นผลทางกฎหมาย ความสมบูรณ์ หรือการมีผลใช้บังคับของสัญญา ดังปรากฏตามสัญญา ข้อที่ ๑๕.๒.๑ (e)
ซึ่งในประเด็นนี้คณะอนุกรรมการด้านสิทธิชุมชนฯ เห็นว่า ข้อสัญญาดังกล่าวอาจขัดแย้งกับการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา ที่กำลังตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า การดำเนินโครงการดังกล่าวอาจมีปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนและไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล อันอาจจะส่งผลต่อความเป็นผลทางกฎหมาย ความสมบูรณ์ หรือการมีผลใช้บังคับของสัญญาในท้ายที่สุดได้
๒. ปัญหาผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิตของชุมชน โดยเฉพาะในฝั่งประเทศไทย
ในประเด็นนี้คณะอนุกรรมการด้านสิทธิชุมชนฯ เห็นว่า ทั้งๆ ที่โครงการเขื่อนไซยะบุรีจะส่งผลกระทบในหลายด้านดังกล่าว แต่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และรัฐบาลไทย กลับไม่มีการเปิดเผยสัญญารับซื้อไฟฟ้า และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสัญญารับซื้อไฟฟ้าดังกล่าว ต่อสาธารณชนก่อนที่จะมีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าดังกล่าวแต่อย่างใด การกระทำของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและรัฐบาลไทยดังกล่าวนี้ จึงอาจไม่เป็นไปตามหลักการในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนโดยเฉพาะหลักการคุ้มครองสิทธิชุมชน ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ และอาจขัดต่อข้อกำหนดของมติคณะรัฐมนตรีและมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ รวมทั้งยังอาจขัดต่อหลักการในข้อตกลงความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของภูมิภาคแม่น้ำโขง ที่ประเทศไทยลงนามในข้อตกลงดังกล่าวเมื่อพ.ศ.๒๕๓๘ และหลักธรรมาภิบาลที่ดีอีกด้วย
ดังนั้น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้พิจารณาความเห็นของคณะอนุกรรมการด้านสิทธิชุมชนชนและฐานทรัพยากรข้างต้นแล้ว มีความเห็นว่า เพื่อป้องกันการกระทำที่อาจเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ในระหว่างที่การพิจารณาตรวจสอบเรื่องร้องเรียนดังกล่าวของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติยังไม่แล้วเสร็จ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจึงเสนอให้นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้ทบทวนการดำเนินงานก่อสร้างโครงการเขื่อนไซยะบุรีให้เป็นไปตามมติของคณะกรรมแม่น้ำโขง (MRC) เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๔ และให้มีการระงับการกระทำใดๆ ตามสัญญารับซื้อไฟฟ้าของการไฟฟ้าแห่งประเทศไทยไว้จนกว่าการตรวจสอบกรณีนี้จะแล้วเสร็จ เพื่อให้เกิดความรอบคอบและถูกต้องตามขั้นตอนกระบวนการดำเนินงานโครงการดังกล่าว และเพื่อจะได้ไม่เกิดความเสียหายแก่ประชาชนและประเทศชาติเป็นสำคัญ
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
๔ พฤษภาคม ๒๕๕๕