นายอนุทัศน์ พลีตา ชาวบ้าน ต.บางวัน อ.คุระบุรี จ.พังงา เข้ายื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อ พล.อ.สุรินทร์ พิกุลทอง ประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาที่ดิน ที่ทำกินและพื้นที่ทางจิตวิญญาณของชุมชนชาวเล สำนักนายกรัฐมนตรี ระหว่างนำคณะลงพื้นที่ตรวจสอบแนวเขตสุสานชาวเล จ.พังงา เมื่อวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา เนื่องจากไม่ได้รับความเป็นธรรมกรณีอุทยานแห่งชาติศรีพังงาประกาศเขตอุทยานทับที่ดินทำกินจำนวน 4.3 ไร่ และล่าสุดได้รับคำสั่งให้ทำลายรื้อถอนพืชผลอาสินในที่ดินของตัวเองทั้งหมด ทั้งๆ ที่นายอนุทัศน์มีเอกสารซึ่งออกโดยราชการยืนยันว่าที่ดินแปลงดังกล่าวไม่อยู่ในเขตหวงห้ามใดๆ
นายอนุทัศน์ กล่าวว่า บิดาซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว ชื่อ นายสมาแอ พลีตา ได้อาศัยและทำกินด้วยการสร้างสวนผลไม้แบบผสมผสานมาตั้งแต่ยังไม่มีการประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเทือกเขานมสาว ในปี 2518 แต่ต่อมาในปี 2524 นายสมาแอ ได้เปลี่ยนไปปลูกยางพาราในพื้นที่ 4.3 ไร่ จนกระทั่งอีก 7 ปี คือในปี 2531 จึงมีการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติศรีพังงา โดยเจ้าหน้าที่ไม่มีการแจ้งหรือกันแนวเขตให้ชัดเจน จึงเป็นเหตุให้ครอบครัวยังทำกินกันเรื่อยมา
อย่างไรก็ตาม เมื่อปี 2553 ต้นยางของบิดาอายุครบ 29 ปี ซึ่งถือว่าหมดอายุการกรีด จึงได้ยื่นขอสงเคราะห์ต่อสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง เพื่อขอโค่นต้นยางและปลูกใหม่ โดยบิดาได้รับอนุมัติทุนการสงเคราะห์ และในรายงานการสำรวจตรวจสอบเพื่อการปลูกแทน (ส.ก.ย.2) ลงวันที่ 5 พ.ย.2552 ระบุไว้ชัดว่าที่ดินแปลงนี้ไม่อยู่ในเขตหวงห้ามใดๆ ตาม ทส.16204.37/442 ลงนามโดยนายวีระ สุทธิธน หัวหน้าแผนกปฏิบัติการ
“แต่จู่ๆ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา ก็มีเจ้าหน้าที่อุทยานเอาป้ายมาปักที่สวนยางของบิดา และยังมีหนังสือสั่งให้ผู้กระทำผิดทำลายพืชผลอาสินทั้งหมดด้วย และเมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา ผมก็ได้รับหนังสือจากผู้ใหญ่บ้านให้ทำลายรื้อถอนและออกไปให้พ้นจากพื้นที่อุทยานแห่งชาติศรีพังงาทันที” นายอนุทัศน์ กล่าว
นายอนุทัศน์ กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้เคยยื่นหนังสือร้องทุกข์ไปยังจังหวัดและศูนย์ดำรงธรรมแล้ว เรื่องคงอยู่ระหว่างดำเนินการ แต่ขณะนี้ครบกำหนดที่ต้องรื้อถอนทรัพย์สินแล้ว จึงเกรงว่าเจ้าหน้าที่จะเข้ามารื้อถอนเมื่อใดก็ได้
“ผมไม่ได้เป็นผู้บุกรุกใหม่ แต่เขายัดข้อหาให้ผมเป็นผู้บุกรุก ทั้งๆ ที่คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 66 กำหนดไว้ว่า การดำเนินการหยุดยั้งทำลายป่าต้องไม่กระทบต่อผู้ยากไร้ ผู้มีรายได้น้อย และผู้ไร้ที่ดินทำกิน ซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่เดิมนั้นๆ ก่อนมีคำสั่งนี้บังคับใช้ ยกเว้นผู้บุกรุกหน้าใหม่” นายอนุทัศน์ กล่าว
อนึ่ง รัฐบาลมีนโยบายตั้งเป้าไว้ว่าจะยึดคืนผืนที่ป่าให้ได้ 6 แสนไร่ โดยระบุว่าจะยึดคืนจากนายทุนและผู้มีอิทธิพลรายใหญ่ แต่ปรากฏว่าขณะนี้ชาวบ้านคนเล็กคนน้อยทั้งในภาคเหนือ อีสานและภาคใต้ ต่างได้รับผลกระทบจากนโยบายดังกล่าว โดยกรณีนี้ถือว่าเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งถึงความผิดพลาด ซึ่งขณะนี้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันมากเรื่องเจ้าหน้าที่รัฐตั้งเป้าทำยอดตัวเลขการยึดคืนที่ดินโดยไม่ดูข้อเท็จจริง
————-