
ชาวบ้านกว่า 132 คนในเขตพยิ่นอูลิน และเขตยาตีกอน เมืองม่านซี รัฐคะฉิ่นต้องทิ้งบ้านเรือนหนีตายจากสงครามระหว่างทหารพม่าและทหารคะฉิ่น KIA ซึ่งเกิดขึ้นล่าสุดเมื่อวันจันทร์(28 กันยายน)ที่ผ่านมา ขณะที่สถานการณ์สู้รบยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง โรงเรียนในพื้นที่ต้องปิดการเรียนการสอนอย่างไม่มีกำหนด โดยขณะนี้ผู้ลี้ภัยสงครามทั้งหมดต้องอาศัยอยู่ที่โบสถ์เพื่อความปลอดภัย
ทั้งนี้ เหตุปะทะกันรอบใหม่ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมากันเกิดขึ้น มีสาเหตุมาจากทหารพม่าพยายามเข้าไปในพื้นที่ควบคุมของทหารคะฉิ่น KIAโดยขณะนี้ทางทหารพม่าได้ประจำตามสถานีตำรวจ ตลาดและโรงเรียน โดยได้ยิงปืนใหญ่ใส่ฐานทัพของ KIA ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองไป 25 กิโลเมตร โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีชาวบ้านถูกลูกหลงจากการปะทะของทั้งสองฝ่ายเสียชีวิต 3 ราย และได้รับบาดเจ็บอีก 2 ราย
สงครามระหว่างทหารพม่าและทหารคะฉิ่น KIA เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อปี 2554 หลังทั้งสองฝ่ายทำสัญญาหยุดยิงกันเป็นเวลานานกว่า 17 ปี เหตุสงครามในรัฐคะฉิ่นนั้นทำให้ชาวบ้านมากกว่า 100,000 คน ต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัยจนถึงขณะนี้
อีกด้านหนึ่งในรัฐฉาน ทางทหารไทใหญ่ RCSS/SSA ได้ประกาศงดหาเสียงในเขตพื้นที่สู้รบใน 16 เมือง เช่นที่เมืองน้ำคำ น้ำตู้ จ้อกเม หนองเขียว สี่ป้อ เมืองกึ๋ง ลายค่า ป๋างโหลง เกซี เมืองนาย ลางเคือ หมอกใหม่ กุ๋นเหง เมืองโต๋น เมืองยอง เมืองเป็ง ซึ่งทั้ง 16 เมืองยังเป็นพื้นที่ซึ่งทาง RCSS/SSA เคลื่อนไหวอยู่
ด้านโฆษกของ RCSS/SSA กล่าวให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวไทใหญ่ Panglong ว่า ในอนาคตจะเกิดสงครามหรือไม่เกิดสงคราม หรือสถานการณ์จะดีหรือไม่ดีนั้นขึ้นอยู่กับทางรัฐบาลพม่าและกองทัพพม่า โดยระบุว่าที่เป็นสงครามอยู่ในตอนนี้เป็นเพราะทางกองทัพพม่าต้องการครอบครองพื้นที่ จึงใช้กำลังทางทหารโจมตีทหารทหารไทใหญ่
ขณะที่ระหว่างวันที่ 28 – 30 กันยายน ทางผู้นำกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์จะจัดประชุมหัวข้อ Ethnic Armed Organizations’ Summit – EAOs หารือกันที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยหัวข้อการหารือจะมุ่งเน้นประเด็นเรื่องการลงนามหยุดยิงทั่วประเทศ หรือการลงนามแห่งชาติ โดยการประชุมครั้งนี้ ทางกลุ่มชาติพันธุ์จะตัดสินใจลงนามหรือไม่ลงนามกับรัฐบาลพม่า อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า กองทัพว้า (UWSA) ไม่ได้เข้าร่วมในการประชุมครั้งนี้
ที่มา DVB/Panglong/Tai Freedom
แปลและเรียบเรียงโดย Transborder News