ระหว่างวันที่ 15-17 ตุลาคม ชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม ได้ชักชวนสื่อมวลชนจากส่วนกลาง ทั้งโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และสื่อออนไลน์ จาก 10 สำนักข่าว ลงพื้นที่ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อเก็บข้อมูลข้อเท็จจริงในโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษตาก ซึ่งก่อนหน้านี้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีคำสั่งที่ 17/2558 โดยใช้อำนาจตามมาตรา 44 เพิกถอนพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าถาวร และพื้นที่สาธารณประโยชน์ ใน ตำบลท่าสายลวด รวม 2,998 ไร่ ประกอบด้วย ป่าสงวนแห่งชาติ 803 ไร่ พื้นที่ป่าถาวร 2,182 ไร่ และพื้นที่สาธารณะประโยชน์ 13 ไร่
ทั้งนี้บรรยากาศการลงพื้นที่ตลอด 2 วันที่ผ่านมา ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ หน่วยข่าวกรอง สำนักนายกรัฐมนตรี กองอำนวยการรักษาความภายในราชอาณาจักร มากกว่า 10 ราย คอยติดตาม และถ่ายรูปชาวบ้านและคณะผู้สื่อข่าว รวมทั้งจดชื่อทุกราย โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่า มีคำสั่งให้ประกบคณะเพื่อติดตามความเคลื่อนไหวตลอด 24 ชั่วโมง
นายสำรวม พันธุ์พืช ชาวบ้านหมู่ 4 ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด กล่าวว่า ตั้งแต่ ต.ท่าสายลวด ถูกประกาศเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ และอยู่ในการดูแลของ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.) ชาวบ้านต่างกังวลว่าจะเกิดนิคมอุตสาหกรรมขึ้นในพื้นที่ ซึ่งแน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ไม่ต้องการ โดยที่ผ่านมามีความพยายามจากภาครัฐที่บอกกับชาวบ้านว่ามีความผิดเพราะเป็นผู้บุกรุกที่หลวง ขณะที่ผู้บริหารท้องถิ่นก็เสนอพื้นที่ให้กับส่วนกลางไปพิจารณาโดยไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เนื่องจากพื้นที่แห่งนี้มีชาวบ้านอาศัยและทำกินอยู่ แต่ท้องถิ่นกลับแจ้งไปว่าเป็นที่รกร้างว่างเปล่า
“ก่อนหน้านี้ชาวบ้านได้คัดค้านการออกรางวัดที่ดิน แต่ก็ไม่สำเร็จ ปัจจุบันมีความพยายามจะออกโฉนดในที่ป่าซึ่งถูกเพิกถอนสิทธิไปแล้ว แต่กรมธนารักษ์เตรียมออกโฉนดตามกฎหมายปกติ ซึ่งชาวบ้านมีช่องที่จะคัดค้านต่อไป เพราะหากปล่อยให้มีการออกโฉนดสำเร็จ ชาวบ้านจะกลายเป็นผู้บุกรุกจริงๆ สุดท้ายคนที่อยู่ในพื้นที่ก็จะติดคุกกันหมด”นายสำรวม กล่าว
นายสุทธิชัย พะโกล ชาวปกาเกอะญอ หมู่ 3 ตำบลช่องแคบ อำเภอพบพระ กล่าวว่า มีข้อมูลว่า ตำบลช่องแคบ จะเป็นพื้นที่ส่วนขยายของนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ และล่าสุดเมื่อประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมา ผู้นำท้องถิ่นได้เข้าไปแจ้งชาวบ้านในชุมชน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวปกาเกอะญอว่ารัฐจะขอคืนพื้นที่ราชพัสดุเพื่อจัดตั้งเป็นนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งจะนำความเจริญและสร้างชื่อเสียงให้กับชุมชน
“พวกเราไม่เคยรู้เลยว่าเศรษฐกิจพิเศษคืออะไร เลยยังบอกไม่ได้ว่ามันจะดีหรือไม่ดี จะกระทบอะไรกับเราหรือไม่ ดังนั้นจึงอยากให้รัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจงข้อมูลให้ชัดเจนก่อน ไม่ใช่เข้ามาบอกว่าจะมาขอพื้นที่ไป และถ้าต้องการพื้นที่จริงๆ ถามว่าทำไมถึงไม่เอาป่าเสื่อมโทรม แต่กลับมาเอาป่าสงวน 3,000-4,000 ไร่ ไปทำไม แล้วจะมีนโยบายทวงผืนป่ากันทำไม” นายสุทธชัย กล่าว
นายสุทธิชัย กล่าวอีกว่า ส่วนตัวไม่ได้คัดค้านนโยบายเศรษฐกิจพิเศษ แต่ต้องการความชัดเจนเพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนทำประชาคมเท่านั้น และอยากเสนอให้รัฐออกกฎหมายสำหรับชดเชยหรือเยียวยาผลกระทบให้กับชาวบ้านที่อาจได้รับปัญหาสุขภาพและสิ่งแวดล้อมจากการสร้างนิคมอุตสาหกรรมด้วย
นายชนกานต์ ชาญประกาศ ชาวบ้านหมู่ 4 ตำบลแม่จะเรา อำเภอแม่ระมาด กล่าวว่า ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นคือผู้นำท้องถิ่นหลายรายใน อำเภอแม่สอด อำเภอพบพระ และ อำเภอแม่ระมาด ไม่เห็นด้วยกับนโยบายเศรษฐกิจพิเศษ แต่ก็น้ำท่วมปากไม่สามารถพูดได้ จึงอยากเรียกร้องให้กำนันและผู้ใหญ่บ้านช่วยกัน เพราะถือว่าลงเรือลำเดียวกันแล้ว ก็ต้องช่วยกันพายให้ตลอดรอดฝั่ง
น.ส.ชมพูนุท เครือคำวัง ผู้แทนกลุ่มคนแม่สอดรักษ์ถิ่น กล่าวว่า นอกจากพื้นที่กว่า 2,000 ไร่ ที่ถูกเวนคืนไปแล้ว นโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษยังต้องเตรียมพื้นที่รองรับโครงสร้างขั้นพื้นฐานอื่นๆ โดยขณะนี้มีโครงการขอทำบ่อน้ำดิบริมแม่น้ำเมย ประมาณ 800 ไร่ และขอตั้งด่านศุลกากรอีก 500 ไร่ ซึ่งทั้งสองโครงการมีชาวบ้านอาศัยอยู่ในพื้นที่ทั้งสิ้น หากเดินหน้าจริงชาวบ้านคงถูกไล่รื้อเพิ่มอีกหลายครัวเรือน
“ที่ผ่านมาชาวบ้านได้เข้ายื่นหนังสือต่อศูนย์ดำรงธรรมแต่เรื่องก็เงียบ ล่าสุดเมื่อวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา ได้ร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไปแล้ว ดิฉันไม่เข้าใจว่าเหตุใดโครงการจึงเดินหน้าไปทั้งๆ ที่ชาวบ้านในพื้นที่ทั้งหมดคัดค้าน”น.ส.ชมพูนุท กล่าว
น.ส.ชมพูนุท กล่าวอีกว่า ปัจจุบันที่ดินใน อำเภอแม่สอด มีราคาพุ่งสูงเฉลี่ย 800% จากเดิมที่ไร่ละ 1 ล้านบาท ปัจจุบันราคาไร่ละ 12-25 ล้านบาท แต่ชาวบ้านกลับได้เงินชดเชยจากการเวนคืนเพียงไร่ละ 7,000- 12,000 หมื่นบาทเท่านั้น ทั้งนี้ขอบเขตเศรษฐกิจพิเศษ จังหวัดตาก มีพื้นที่ทั้งสิ้น 886,875 ไร่ ใน 3 อำเภอ ได้แก่ แม่สอด พบพระ และแม่ระมาด โดยเบื้องต้นได้สร้างผลกระทบกับชาวบ้านแล้ว 97 ครัวเรือน ซึ่งต้องอพยพย้ายถิ่นฐานและสูญเสียที่ดินทำกิน
——————-