
เหตุสงครามรอบใหม่ระหว่างทหารพม่าและทหารไทใหญ่ SSPP/SSA ที่ดำเนินมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 ตุลาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้มีพลัดถิ่นภายในมากกว่า 2,700 คนแล้ว โดยส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก มีรายงานว่า ชาวบ้านอย่างน้อย 8 หมู่บ้านในเมืองเกซีต้องทิ้งบ้านเรือนของตัวเอง หลังกองทัพพม่าระดมยิงปืนใหญ่เข้าไปในเมืองเกซีและเมืองสู้
นายจายสู้ จากกลุ่มเครือข่ายเยาวชนไต หรือไทใหญ่ (Shan Youth Network) เปิดเผยว่า จนถึงขณะนี้ มีผู้พลัดถิ่นภายในจากสงครามได้ไปอาศัยอยู่ชั่วคราวที่วัดบ้านซ่อ จำนวน 1,500 คน ที่วัดไฮป๋าอีก 1,200 คน และที่เมืองหนองอีกกว่า 100 คนตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว โดยส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก “พวกเขาไม่มีอาหารเพียงพอ ไม่มีค่ายพักพิงที่นี่ มันยากลำบากมากสำหรับพวกเขา” นายจายสู้กล่าว

ทางด้าน นายล่าฉ่วยเต่ง ซึ่งทำงานด้านบรรเทาทุกข์ให้การช่วยเหลือผู้ลี้ภัยสงครามในเมืองเกซี เปิดเผยว่า เขาได้ทราบว่า มีคนชราจำนวน 2 คนถูกทอดทิ้งไว้ในหมู่บ้านตามลำพัง ชายชราคนหนึ่งมีอายุ 102 ปี “พ่อเฒ่าคนนี้ตาบอดและถูกทิ้งไว้ที่บ้านตามลำพัง ครอบครัวไม่สามารถพาออกมาด้วยได้ ระหว่างที่เกิดการสู้รบ” นายล่าฉ่วยเต่ง ยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ยังมีหญิงชราเป็นอัมพาตวัย 90 ปี ก็ถูกทิ้งไว้ตามลำพังที่หมู่บ้านเช่นเดียวกัน
ขณะที่ยังพบเหตุสู้รบเกิดขึ้นเมื่อเช้าวันจันทร์(19 ตุลาคม) ที่ผ่านมา โดยทาง SSPP/SSA ได้ออกแถลงการณ์ว่า ถึงแม้ทาง SSPP/SSA ไม่ได้เข้าร่วมลงนามหยุดยิงทั่วประเทศเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ที่ผ่านมา แต่ได้ลงนามหยุดยิงระดับรัฐ หรือหยุดยิงในเบื้องต้นไว้กับรัฐบาลพม่าตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2555 ซึ่งทั้งสองฝ่ายมีหน้าที่จะต้องทำตามข้อตกลงที่ทำร่วมกัน โดยทาง SSPP/SSA ได้พยายามติดต่อกับทางฝ่ายพม่าเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น อีกทั้งยอมทิ้งฐานที่มั่นสำคัญ “ท่าสามปู” โดยหวังว่าจะสามารถยุติสงครามได้ เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับความยากลำบาก อย่างไรก็ตาม กองทัพพม่ากลับเดินหน้ารบ SSPP/SSA อย่างต่อเนื่อง
ทาง SSPP/SSA ระบุไว้ในแถลงการณ์ว่า เป็นฝ่ายถูกรังแก ยืนยันไม่ต้องการทำสงครามแต่จะปกป้องตนเอง หากถูกทหารพม่ารุกราน ย้ำว่าจะเข้าร่วมการพูดคุยเจรจาทางการเมืองต่อไปและจะพยายามทำงานเพื่อให้เกิดการลงนามหยุดยิงทั่วประเทศเพื่อนำไปสู่สันติภาพและความสงบสุข ทั้งนี้คาดว่า SSPP/SSA นั้นมีกำลังพลอยู่มากกว่า 4,000 นาย เคลื่อนไหวอยู่ในเมือง น้ำคำ ลางเคือ สีป้อ เมืองสู้ เกซี จ๊อกเม ต้างยาน เมืองไหย และเมืองล่าเสี้ยว ภายใต้การนำของพลโทป่างฟ้า
ที่มา Tai Freedom/Irrawaddy/Myanmar Peace Monitor
แปลและเรียบเรียงโดย Transborder News